ดีเดย์ 1 มิ.ย. 63 ศาลยุติธรรมพร้อมกลับมาพิจารณาคดีเต็มรูปแบบ! เผยสถิติ 2 เดือน เม.ย.-พ.ค. คนฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 3.2 หมื่นคดี เฉพาะเด็ก-เยาวชน 2 พันกว่าคดี รอง ปธ.ศาลฎีกา กำหนดแนวปฏิบัติการบริหารจัดการช่วงโควิด-19 ให้ จนท.-คู่ความสวมแมสก์-ใช้เจลล้างมือ-Social Distancing
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2563 นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลคดีสำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรมได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องภายหลังรัฐบาลออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายสราวุธ กล่าวว่า ภาพรวมสถิติคดีสะสมตั้งแต่วันที่ 1 - 31 พฤษภาคม 2563 มีจำนวนคดีที่เข้าสู่การพิจารณาในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง ทั้งหมด 14,727 คดีพิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 14,176 คดี (คิดเป็นร้อยละ 96.26)จำนวนจำเลยที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด 21,113 คน ข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 20,736คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้กระทำความผิดสูงสุดในการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 1,797 คนส่วนในกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัวมีจำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 813 คำร้องจำนวนเยาวชนที่เข้าสู่การตรวจจับที่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด 891 คนข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม สูงสุด คือ ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 884 คน
เลขาธิการศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า ภายหลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เห็นได้ว่าสถิติคดีในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวงในเดือนเมษายนตลอดทั้งเดือนมีปริมาณคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาทั้งหมด 17,466 คดี เดือนพฤษภาคม จำนวน 14,727 คดี (รวม 32,193 คดี) เมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่าสถิติคดีมีปริมาณลดลง 2,739 คดีขณะที่ในส่วนของกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัวสถิติการจับกุมในเดือนเมษายน มีจำนวน 1,262 คดี เดือนพฤษภาคม มีจำนวน 813 คดี (รวม 2,075 คดี) เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองเดือนพบว่าสถิติมีการลดลง จำนวน 449 คดี สาเหตุอาจเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น และประชาชนเข้าใจในแนวทางปฎิบัติ เริ่มมีการปรับตัวให้อยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้นพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างจริงจัง
นายสราวุธ กล่าวด้วยว่า สำหรับคดีที่มีการเลื่อนนัดพิจารณาคดีในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ขณะนี้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศมีความพร้อมที่จะเริ่มกลับมาพิจารณาคดีเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 โดยคณะอนุกรรมการศึกษาติดตามและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการคดีภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของศาลยุติธรรม มีนางเมทินี ชโลธร รองประธานศาลฎีกาเป็นประธานคณะอนุกรรมการ ได้กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการคดีและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งสถานที่และบุคลากรสำหรับการพิจารณาคดีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในเดือนมิถุนายน 2563 เช่น กำหนดให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องพิจารณาใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และให้อยู่ห่างจากบุคคลอื่นในระยะอย่างน้อย 1 – 1.5 เมตร หรือให้เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์จัดให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม จัดให้มีจุดบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้คู่ความหรือทนายความสามารถยื่นคำคู่ความหรือเอกสารใดๆ โดยที่มีเจ้าหน้าที่รับและมีระบบการติดตามทราบคำสั่งหรือความคืบหน้าของคดี
“สำหรับศาลที่มีทางเดินรถภายในที่สะดวก กว้างขวาง อาจจัดให้มีการบริการ Drive Thru เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มาติดต่อโดยไม่ต้องลงจากรถ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ที่เข้าไปในอาคาร สะดวกแก่การดูแลสุขอนามัยภายในศาล สำหรับการติดต่องานบริเวณจุดรับบริการหรือเคาน์เตอร์ระหว่างเจ้าหน้าที่ศาลกับผู้มาติดต่อราชการ กำหนดให้มีเส้นแบ่งหรืออุปกรณ์เพื่อการเว้นระยะห่างบุคคลอื่น (Social Distancing) และให้ศาลจัดเตรียมหน้ากากอนามัยสำรองไว้เพื่อให้บริการแก่คู่ความหรือผู้มาติดต่อราชการในกรณีที่ไม่ได้นำหน้ากากอนามัยติดตัวมาศาลด้วย” นายสราวุธ กล่าว
นายสราวุธ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการออกหมายและส่งหมายแจ้งวันนัดสำหรับคดีทุกประเภทให้ใช้ความระมัดระวัง และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ตามที่ได้ดำเนินการให้ละเอียดชัดเจน สำหรับคดีจัดการพิเศษที่รับฟ้องใหม่ ควรกำหนดนัดพิจารณาแบบเหลื่อมเวลา รวมถึงในกรณีออกหมายเรียกพยานบุคคลมาเบิกความที่ศาล ให้ระบุเวลาไว้ในหมายเรียกให้สอดคล้องกับเวลานัดหรือเวลาที่พยานจะต้องเข้าเบิกความ เพื่อลดระยะเวลาที่คู่ความ ทนายความ และผู้เกี่ยวข้องต้องรอการพิจารณาและลดความแออัดในห้องพิจารณา เป็นต้น ส่วนที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมาตรการผ่อนปรนให้กิจกรรม/กิจการบางประเภทเปิดทำการเพิ่มเติมได้ (ผ่อนปรนเฟส 3) และให้การเดินทางข้ามจังหวัดภายใต้มาตรการที่ราชการกำหนด รวมถึงลดเวลาการออกนอกเคหสถานลง 1 ชั่วโมง เป็นเวลา23:00 น.- 03:00 น.ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันนี้เป็นวันแรก ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการยึดหลักสาธารณสุขเป็นหลัก รวมถึงศึกษาข้อกำหนดของมาตรการการผ่อนปรนอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการระบาดระลอกสอง หรือ second wave ที่อาจจะเกิดขึ้นเหมือนหลาย ๆ ประเทศ
อ่านประกอบ :
42 วันมีผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 35,744 ราย-เยาวชน 1,890 ราย-กทม.ยังแชมป์
20 วันเคอร์ฟิวยอดคนทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯพุ่ง 1.8 หมื่นราย เยาวชนนับพัน-กทม.แชมป์อีก
10 วันหลังเคอร์ฟิวมีคนฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯกว่าหมื่นราย เยาวชน 548 ราย-กทม.ยังแชมป์
แค่ 7 วันเคอร์ฟิวมีผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯกว่า 5 พันราย เยาวชน 326 ราย-กทม.แชมป์
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/