ครม.รับทราบแนวทางเยียวยา ‘บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนลฯ’ คู่สัญญา ‘โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา-เมืองการบินฯ’ อันเนื่องจาก 'เหตุสุดวิสัย' ลุยรื้อหลักเกณฑ์จัดสรรรายได้คู่สัญญา เลื่อนวันเริ่มนับระยะเวลาให้บริการฯ หากผู้โดยสารไม่ถึง 6.5 ล้านคน/ปี จะยังไม่เริ่มรับปีที่ 1 พร้อมสนับสนุนการจัดหาเงินกู้ 'ดอกเบี้ยต่ำ' ให้
.................................
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เนื่องจากหลังจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจ รวมทั้งกรณีเกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และเอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันและสรุปแนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ดังนี้
1.การร่วมกันผลักดันการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก (Eastern Airport City) เห็นควรผลักดันให้มีการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก โดยเห็นควรให้เอกชนเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก จากเดิมประมาณ 4,500 ล้านบาท เป็นประมาณ 40,000 ล้านบาท และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ กรรมสิทธิ์ในงานพัฒนาเมืองการบินฯ ทั้งหมดจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ
ทั้งนี้ ให้ สกพอ.จัดให้มีมาตรการสนับสนุนทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี ในการประกอบกิจการ การทำงาน และการอุปโภคบริโภค และในด้านการบินและโลจิสติกส์ โดยให้มีผลใช้บังคับ และสามารถเริ่มใช้ประโยชน์ในมาตรการสนับสนุนทั้งหมดดังกล่าวให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่เริ่มนับระยะเวลาโครงการฯ และจะมีการทบทวนพัฒนามาตรการ สนับสนุนดังกล่าวทุกๆ 10 ปี
2.สกพอ.จะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดในการสนับสนุนเอกชนคู่สัญญาแก้ไขปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โดย สกพอ.จะพยายามอย่างดีที่สุด (Best Efforts) โดยสุจริตภายใต้กฎหมายและ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ในการสนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินกู้ของเอกชนที่มีเงื่อนไขที่ดีกว่าตลาดของสถาบันทางการเงินเอกชนทั่วไป และใกล้เคียงกันกับโครงการของรัฐที่มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันจนกว่าผลกระทบจะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของโครงการฯ
3.การปรับหลักเกณฑ์การพัฒนางานหลักของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โดยคู่สัญญาตกลงปรับระยะการพัฒนางานหลักของสนามบินอู่ตะเภา เช่น อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ ศูนย์การขนส่งภาคพื้น การให้บริการภาคพื้นดิน เป็นต้น จากเดิม 4 ระยะ เปลี่ยนเป็น 6 ระยะ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารของแต่ละระยะ สอดคล้องกับประมาณการผู้โดยสารที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยในระยะแรกจะพัฒนางานหลักฯให้มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 12 ล้านคน/ปี และจะลงทุนในระยะถัดไป (ระยะที่ 2–6) เมื่อมีปริมาณผู้โดยสารถึง 80% ของขีดความสามารถในการรองรับของระยะปัจจุบัน ในขณะที่โครงการฯยังกำหนดเป้าหมายให้สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารในปีสุดท้ายที่ 60 ล้านคน/ปีเท่าเดิม ได้แก่ ระยะที่ 1 จำนวน 12 ล้านคน/ปี ,ระยะที่ 2 จำนวน 15.9 ล้านคน/ปี ,ระยะที่ 3 จำนวน 22.4 ล้านคน/ปี ระยะที่ 4 จำนวน 30 ล้านคน/ปี ระยะที่ 5 จำนวน 45 ล้านคน/ปี และระยะที่ 6 จำนวน 60 ล้านคน/ปี
4.ปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของเอกชนคู่สัญญา โดยคู่สัญญาตกลงให้ปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของเอกชนคู่สัญญาในช่วงเวลาตามเงื่อนไข โดยจัดลำดับรายการที่เอกชนคู่สัญญาต้องชำระ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่ดินให้รัฐ การชำระคืนดอกเบี้ย และเงินต้นของเงินกู้และส่วนแบ่งรายได้รัฐ เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยเอกชนคู่สัญญาสามารถชำระรายได้ของรัฐได้อย่างเหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับหลักความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน
สำหรับการจัดสรรรายได้ใหม่ตามแนวทางแก้ปัญหาฯ มีดังนี้ ลำดับที่ 1 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ,ลำดับที่ 2 ค่าเช่าที่ดิน และสิ่งก่อสร้างของรัฐ ,ลำดับที่ 3 ชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ,ลำดับที่ 4 เงินสดสำรองตามมาตรฐาน การชำระคืนเงินกู้ ,ลำดับที่ 5 ส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ หรือคิดเป็น 5% ของรายได้ และลำดับที่ 6 ผลตอบแทนให้รัฐเพิ่มเติม ตามซองข้อเสนอและรายได้รัฐที่ค้างชำระ
ทั้งนี้ การบังคับใช้หลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ข้างต้นจะสิ้นสุดเมื่อ (1) จำนวนผู้โดยสารรายปีสะสมที่เกิดขึ้นจริง มีจำนวนเท่ากับการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารตามข้อเสนอทางด้านเทคนิคของเอกชนคู่สัญญา และ (2) เอกชนคู่สัญญาได้ชำระเงินให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกลำดับการชำระครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ข้างต้นแล้ว รวมทั้งสถานะทางการเงินของเอกชนคู่สัญญาไม่อยู่ในสถานะผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ (No Default) และไม่อยู่ในสถานะที่ผู้ให้กู้เงินเริ่มใช้สิทธิเร่งรัดชำระหนี้เงินกู้
5.การเลื่อนวันเริ่มนับระยะเวลาให้บริการและบำรุงรักษาโครงการฯ โดยหากมีการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ แต่ปริมาณผู้โดยสารมีไม่ถึง 5.6 ล้านคน/ปี ให้เลื่อนการเริ่มนับระยะเวลาปีที่ 1 ในปีที่มีปริมาณผู้โดยสารต่อปี จำนวน 5.6 ล้านคน โดยช่วงเวลาที่ยังไม่มีการเริ่มนับปีที่ 1 นั้น ให้เอกชนคู่สัญญาชำระค่าตอบแทนรัฐ ดังนี้
(1) ชำระค่าเช่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างแก่รัฐจำนวน 100 ล้านบาท/ปี จากเดิม 820 ล้านบาท/ปี ในช่วง 3 ปีแรกของการให้บริการและการบำรุงรักษาโครงการฯ และเพิ่มขึ้นทุกๆ 3 ปี จนสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ
(2) ชำระรายได้ของรัฐ 100 ล้านบาท/ปี จากเดิม 1,300 ล้านบาท ในปีที่ 1 และเพิ่มขึ้นในปีถัดไปทุกปีจนสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ และ
(3) ชำระรายได้ของรัฐแก่ สกพอ. เป็นจำนวนเท่ากับกระแสเงินสดคงเหลือจากการดำเนินโครงการฯ ภายหลังการชำระดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นที่จำเป็นต้องชำระตามสัญญาเงินกู้แล้ว ทั้งนี้ ไม่เกิน 5% ของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้นๆ ของเอกชนคู่สัญญา
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2561 ครม.มีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และมีการลงนามในสัญญาฯ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 แต่ต่อมาในปี 2564-2565 เอกชนคู่สัญญาขอใช้สิทธิผ่อนผันตามข้อ 13 ของสัญญาร่วมลงทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบความผันผวนทางเศรษฐกิจ รวมถึงกรณีเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย
นายอนุชา กล่าวกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการเยียวยาผลกระทบตามหลักการแก้ไขปัญหาข้างต้นว่า นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในระยะที่ปริมาณผู้โดยสารยังได้รับผลกระทบแล้ว ยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้เอกชนคู่สัญญาสามารถดำเนินโครงการฯ ได้โดยที่รัฐยังได้รับชำระส่วนที่เป็นรายได้ของรัฐ ตามจำนวนเดิมพร้อมค่าเสียโอกาส
ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าผลักดันโครงการฯให้เป็นจุดหมายปลายทางในการเดินทางของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย เพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ใกล้เคียงในระยะยาว และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของโครงการฯ
อ่านประกอบ :
ครม.อนุมัติ 'สกพอ.-บีบีเอส' เซ็นสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล.
เคาะร่างสัญญาสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล้าน! กพอ.ชงครม.อนุมัติ-คาดเซ็นกลุ่มบีบีเอส มิ.ย.นี้
ให้ผลตอบแทนรัฐดีที่สุด! ทร.เคาะเลือกกลุ่มบีบีเอส 'หมอเสริฐ' พัฒนาอู่ตะเภาฯ 3.05 แสนล.
คดีอู่ตะเภา 2.9 แสนล.ยังไม่จบ! ทร.ขออัยการฯยื่นศาลปค.สูงสุดพิจารณาคดีใหม่-คู่ขนานเปิดซองกลุ่มซีพี
คำถามถึงปธ.ศาลปกครองสูงสุด ทำไม? ไม่นำคดี ‘อู่ตะเภา’เข้าที่ประชุมใหญ่
ซีพี ชนะ! ศาลปค.สูงสุด ตัดสินเพิกถอนคำสั่ง ทร.ไม่รับซองอู่ตะเภาฯ 2.9 แสนล.
ข้อสังเกตใหม่! คดีอู่ตะเภา'คำสั่งทุเลาฯรับซองกลุ่มซีพี-ตุลาการแถลงคดี' ยึดแนววินิจฉัยเดียวกัน
ย้อนคำพิพากษาศาลปค.สูงสุดริบประกันซอง5แสนยื่นประมูลช้า39 วิฯ เทียบคดีอู่ตะเภา2แสนล.สาย9นาที