'วิษณุ' แจงเกณฑ์รับโทษ 1 ใน 3 หรือ 8 ปี ก่อนขออภัยโทษใช้ทุกกรณี ‘วัฒนา’ ยึดตามเกณฑ์ใหม่ ส่วน 'บุญทรง' ลดโทษแล้วก็แล้วไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2565 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ได้รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการอภัยโทษ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการจัดชั้น เลื่อนชั้นนักโทษ เพื่อให้มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้นว่า สรุปให้ ครม.รับทราบและนายกรัฐมนตรีรับทราบ
เมื่อถามถึงกรณีมีการเน้นย้ำถึงหลักเกณฑ์ว่าจะต้องได้รับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 จึงจะดีกว่า นายวิษณุ กล่าวว่า จากนี้ไปศาลจะลงโทษเท่าไหร่ก็ตามต้องรับโทษอย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 8 ปี สุดแท้จะถึงกำหนดใดก่อนกัน เพราะบางคนถูกลงโทษจำคุก 50 ปี ถ้าคิดเป็น 1 ใน 3 ก็เกือบ 20 ปี ซึ่งบางคนเป็นนักโทษชั้นดี ชั้นเยี่ยมมาตลอด 8 ปีก็อาจออกมาได้ เมื่อนักโทษเข้าเรือนจำวันแรก จะมีการจัดชั้นว่าเป็นนักโทษชั้นเลว นักโทษชั้นกลาง นักโทษชั้นดี นักโทษชั้นดีมาก ที่สำคัญคือนักโทษชั้นเยี่ยม ซึ่งจัดเอาไว้อย่างนั้นเผื่อนำไปใช้พิจารณา เพื่อเป็นประโยชน์ ซึ่งในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษระบุไว้ว่า นักโทษแต่ละประเภทได้ลดโทษเหลือจำนวนเท่าใด การมีระดับชั้นเหมือนมียี่ห้อและคะแนน
“ที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์รับโทษ 1 ใน 3 หรือ 8 ปี แต่ใช้คะแนนของนักโทษเป็นหลัก แต่บัดนี้หลักเกณฑ์ที่จะนำไปสู่การอภัยโทษคือการรับโทษ 1 ใน 3 หรือ 8 ปี แล้วจึงค่อยมาดูว่ามีคะแนนเท่าไหร่” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่า หลักเกณฑ์นี้ใช้กับนักโทษทุกประเภทใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า หลักเกณฑ์คือทุกกรณี แต่จะมีความเข้มงวดในคดีบางประเภท เช่น คดียาเสพติด คดีทุจริต และคดีอุกฉกรรจ์มหันตโทษ อย่างกรณีผู้อำนวยการโรงเรียนปล้นร้านทองและฆ่าคนตายในที่เกิดเหตุ ศาลลงโทษประหารชีวิต เมื่อนักโทษต้องโทษประหารชีวิตและได้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษก็จะเปลี่ยนมาเป็นจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งกลุ่มนี้จะไม่มีการลดโทษอีก เพราะในแต่ละคดีมีความแตกต่างกัน แต่หากไม่มีการผ่อนอะไรเลยจะทำให้นักโทษล้นคุกและอยู่โดยไม่มีความหวังว่าจะมีโอกาสบรรเทาเบาบางโทษลงอย่างไร อาจจะนำไปสู่การก่อเหตุจลาจลในคุกได้ จึงต้องมีสิ่งจูงใจให้ทำความดีเพื่อให้ได้คะแนน
เมื่อถามว่า อาจจะกลายเป็นดาบสองคมทำให้คนไม่กลัว เพราะเมื่อทำความผิดจะติดคุกไม่นานหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อย่างน้อยก็มีระยะเวลาปลอดภัยที่สังคมการันตีได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ออกมาเร็วเกินควร แต่ถ้าติดคุกแค่ 5 ปีหมายความว่า ไม่ใช่คดีสำคัญอยู่แล้ว ที่เป็นห่วงคือ นักโทษที่มีโทษหนักถูกจำคุก 50 ปี บางคนไม่ได้มีคดีเดียวอาจมีปัญหาว่าจะใช้หลักเกณฑ์ 1 ใน 3 ของคดีอะไร ซึ่งได้ตกลงกันแล้วว่า นักโทษนั้นต้องอยู่ในคุกกี่ปี เมื่อคำตอบคือ 50 ปีก็ให้คิด 1 ใน 3 จาก 50 ปี
เมื่อถามถึงกรณีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ต้องโทษจำคุก 48 ปี ซึ่งได้ลดโทษแล้ว ถือว่าแล้วไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวยอมรับว่า ที่มีการลดไปแล้วก็แล้วไป เพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษ ไม่ควรที่จะมีใครมีคำถามต่อจากนี้ ส่วนกรณีของนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ศาลลงโทษจำคุก 50 ปี และติดคุกมาแล้ว 1 เดือนนั้นก็จะเหลือเวลาอีก 49 ปี 11 เดือน ฉะนั้นจะได้รับประโยชน์เมื่อติดคุก 8 ปีหรือ 1 ใน 3 ของโทษจำคุก
เมื่อถามว่า ในโอกาสสำคัญต่างๆ นักโทษจะได้รับการลดโทษอีกหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ให้ยึดหลักถ้ายังไม่ได้ครบจำนวน 1 ใน 3 ตามที่กำหนดไว้จะไม่พูดเรื่องการลดโทษ แต่สามารถจัดให้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยมได้และได้คะแนนสะสมเมื่อครบ 8 ปีแล้วค่อยมาว่ากันว่าเป็นนักโทษชั้นอะไร
อ่านประกอบ :