ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ 257 ต่อ 189 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท พร้อมมีมติส่งข้อสังเกต กมธ.ให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
-----------------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2564 สภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 2 และ 3 ที่ เข้าสู่การอภิปรายเป็นวันที่ 4
เมื่อเวลา 1.11 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ครบทุกมาตราแล้ว ซึ่งในวาระที่ 2 ไม่มีผู้ขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำ จึงเข้าสู่กระบวนการลงมติเพื่อลงมติในวาระที่ 3 โดยก่อนที่จะมีการลงมติ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ได้เตือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยว่า ขณะนี้เรารู้แล้วว่า พวกเราบางคนโดนเรื่องกดบัตรซ้ำ หรือกดบัตรแทนกัน ดังนั้นขอให้ใช้ความระมัดระวังด้วย
ทั้งนี้ที่ประชุม 257 ต่อ 189 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง เห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท
นอกจากนั้นที่ประชุมยังลงมติ 430 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 เห็นชอบให้ส่งข้อสังเกตในรายงานของ กมธ.ให้คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
ขณะที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้อภิปรายในวันนี้ ในนามของคณะรัฐมนตรี ขอบคุณสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่านที่ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 สำหรับข้อคิดเห็น คำแนะนำ ข้อห่วงใย ที่ได้เสนอตลอดระยะเวลาการประชุม รัฐบาลขอขอบคุณและจะนำไปประกอบพิจารณาปรับปรุง เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณมีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ สังคมในปัจจุบัน รวมถึงขอบคุณ กมธ.ที่ได้เสียสละเวลาพิจารณาอย่างเต็มที่จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมทั้งข้อสังเกต กมธ.วิสามัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ รัฐบาลจะนำไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานให้การจัดสรรทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำงบประมาณไปใช้ตามแผนงานที่กำหนด รัฐบาลจะกำกับดูแลให้การใช้งบประมาณมีความโปร่งใส และดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
@ 'เรืองไกร'ท้า'ยุทธพงศ์'แจ้งความ หลังเหน็บไม่เป็น ส.ส.-ขโมยกินข้าวหลวง
เมื่อเวลา 19.50 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณามาตรา 30 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานรัฐสภา วงเงิน 3,673,549,900 บาท นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอปรับลดงบประมาณ 20% หมวดที่สำคัญที่มีการปรับลดคือค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตั้งไว้ 386 ล้านบาท เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎร มีค่าอาหารและเครื่องดื่มรั่วไหลมาก เวลาประชุมแต่ละครั้งมีคนภายนอกเข้ามาขโมยอาหารหลวงกินในสภา พร้อมเปิดภาพที่อ้างว่าเป็นหลักฐาน โดยเป็นภาพของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กมธ.งบประมาณฯ เข้าไปนั่งรับประทานในห้องชั้น 2 ของรัฐสภา ซึ่งเป็นห้องอาหารสำหรับ ส.ส.เขียนว่า Safe Zone งดผู้ติดตาม ดังนั้นเป็นพื้นที่อนุญาตเฉพาะ ส.ส. ส่วนคนที่ไม่ได้ ส.ส.ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไป แต่พบว่า นายเรืองไกร เข้าไปรับประทานอาหาร พบว่าเดินทางเข้ามารับประทานอาหารหลายครั้ง จึงมีคำถามว่า นายเรืองไกรที่เป็นนักตรวจสอบ เป็นนักร้อง ถือว่าเป็นคนรู้กฎหมาย แต่ทำไมไม่รู้ถูกผิดชั่วดี รู้ว่าการขโมยข้าวหลวงในสภามันผิด เหตุใดถึงทำ เพราะนายเรืองไกรไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นเพียงอดีต ส.ว.คนหนึ่งซึ่งเป็นมานานมากแล้ว
“นายเรืองไกรจะยอมรับหรือไม่ การขโมยข้าวหลวงในสภามันผิด จะยื่นหนังสือให้ประธานสภาตรวจสอบตัวเองหรือไม่ หรือจะต้องให้ผมเป็นคนยื่นให้ตรวจสอบ เพราะนายเรืองไกรควรปัดกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ก่อนจะไปปัดกวาดบ้านคนอื่นเขา” นายยุทธพงศ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายง่านว่าระหว่างที่นายยุทธพงศ์อภิปรายอยู่นั้น นายเรืองไกร ได้นำกระดาษเขียนข้อความว่า “นายกฯตู่ อยู่ยาวๆ” มาติดไว้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ทำให้ ส.ส.ก้าวไกลลุกขึ้นประท้วง จนนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประธาน เตือนให้นายเรืองไกรนำป้ายข้อความลง พร้อมบอกให้นายยุทธพงศ์ อภิปรายเข้าประเด็น
ขณะที่นายเรืองไกร ชี้แจงว่า สิ่งที่ตนรอคอยก็คือวันนี้ สิ่งที่ตนอ่านคนก็คือวันนี้ อ่านสามก๊กมาหลายตลบ เพิ่งเจอจิวยี่ก็วันนี้ ถ้าคิดว่าตนขโมยข้าวหลวงกินให้แจ้งความข้อหาหลักทรัพย์ได้เลย ตนจะได้เรียกพยานหลักฐานทั้งหมด เพราะขณะนั้นตัวแทนพรรคการเมือง อดีตรัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสรัฐสภาก็เยอะแยะ ผู้ติดตาม ส.ส.ก็เข้าไปกินกัน ตนไม่ติดใจ เพราะเป็นเรื่องเล็ก
@ ‘ทวี’ จี้ปรับลดงบซื้อรถ-ฝึกอบรม
โดยตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณามาตรา 25 กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 37,543,236,900 บาท
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปราย ว่า ตนได้สงวนความเห็นขอปรับลดงบประมาณ 0.2% หรือ 75 ล้านบาท โดยปรับลดการซื้อรถประจำตำแหน่ง หรือฝึกอบรมที่ไม่เกี่ยวกับกระทรวง ทั้งนี้กระทรวงมีความสำคัญที่สุดในการรับมือสถานการณ์โควิด แต่สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้รับงบประมาณ 22 ล้านบาทถือว่าน้อยกว่าปีก่อน ทำให้เห็นว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการที่สุดอย่างวัคซีน กลับจัดงบประมาณไว้น้อย ขณะเดียวกันรัฐบาลจะหาวัคซีนให้ได้ 105 ล้านโดส เมื่อถามเชิงลึก พบว่า ซื้อแอสตร้าเซนเนก้าโดสละ 5 เหรียญสหรัฐฯ ซิโนแวคโดสละ 17 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนล็อตหลังราคาลดลง 15 เหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้พบว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการขาย ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นโดยกฎหมาย เป็นรัฐวิสาหกิจในการหาวัคซีน หายา ไม่มีหน้าที่เป็นตัวแทนให้ผู้อื่น และต้องรักษาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ตนเองเป็นผู้แทนการขายให้บริษัทต่างชาติที่เป็นเอกชน จึงเป็นเรื่องที่หน้าเป็นห่วง และพิจารณาในวงการแพทย์ ก็พบว่าซิโนแวคยังมีการป้องกันได้น้อยกว่าวัคซีนตัวอื่น เหตุใดกระทรวงสาธารณสุขไม่ดำเนินการหาวัคซีนที่ดี หรือเป็นตัวแทนวัคซีนที่หลากหลายมากขึ้น
@ ‘เพื่อไทย’ รุมถล่มงบไม่ตอบโจทย์สถานการณ์โควิด
นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายปรับลดงบประมาณ 22% หรือ 8,259 ล้านบาท เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการจัดงบประมาณแบบนี้ที่จะต้องสร้างสิ่งก่อสร้าง สร้างอาคาร และเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องทั้งหมด มาให้กับการต่อสู้ และให้กำลังใจบุคลากรส่วนหน้า เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขค้างจ่ายเบี้ยอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) รวมถึงค่าอาหารสำหรับคนกักตัว 14 วันที่บางอำเภอจ่าย บางอำเภอก็ไม่จ่าย จึงขอปรับลดงบประมาณส่วนนี้เพื่อนำไปใช้จ่ายเรื่องคนให้มากที่สุด และดีที่สุดให้เอาไปซื้อชุดตรวจโควิดแจกจ่ายประชาชนให้หมด เพื่อทดสอบเบื้องต้นว่าใครติดเชื้อบ้าง ไม่ใช่ให้อยู่โดยที่ไม่มีอนาคตต ไม่มีความหวังเหมือนปัจจุบัน
ด้าน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายปรับลดงบประมาณ 5% เป็นเงิน 1,872 ล้านบาท ระบุว่า ในชั้น กมธ.ปรับลดพอเป็นพิธี หรือเพียง 60 ล้านบานท ทั้งนี้ยังพบว่ามีการจัดงบประมาณที่ยังไม่จำเป็นจำนวนมาก เช่น การเช่ารถ หรือซื้ออุปกรณ์วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การจัดซื้อครุภัณฑ์ซ้ำซ้อนในองค์การเภสัชกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งนี้ขอให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิดอีกทางหนึ่ง
ขณะที่นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่ดูแลสุขภาพอนามัยให้ประชาชน วันนี้เราพูดกันถึงโควิด จากตอนแรกผู้นำของประเทศที่เป็นเสนาบดีกระทรวงนี้บอกว่า โรคไข้หวัดกระจอก จนถึงปัจจุบันมีประชาชนต้องสังเวยชีวิตไปไม่น้อยกว่า 8 พันคนในขณะนี้ นอกจากนั้นยังพบว่าระบบการตรวจเชิงรุกใน กทม. ที่มีการตั้งจุดตรวจเป็น 6 กลุ่มเขต เขตห้วยขวางดินแดง อยู่ในกลุ่มกรุงเทพกลาง มีทั้งหมด 9 เขต ให้ไปตรวจหาโควิดใต้ทางด่วนเขตราชเทวี ถามว่า คนอยู่วังทองหลาง ห้วยขวาง ไปราชเทวี จะไปถูกหรือไม่ และแทนที่จะให้เชื้อโรคอยู่กับที่ กลายเป็นว่าให้คนสุ่มเสี่ยงเดินทางไปตรวจ ไม่รู้ว่าเชื้อโรคจะแพร่กระจายไปอีกเท่าไร แบบนี้ถือว่าบริหารจัดการล้มเหลว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบรักษาตัวทอยู่บ้าน หรือ Home Isolation รวมถึงกักตัวชุมชน Community Isolation ปัจจุบันให้ศูนย์สาธารณสุข คลินิกประกันสุขภาพมาดูแล แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ให้ส่งข้าวส่งน้ำ 3 มื้อ ซื้อเครื่องออกซิเจน ซื้อเครื่องวัดไข้ แต่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ยอมให้เบิกจ่าย ดังนั้นขอให้มีการปรับลดงบประมาณ เพื่อนำไปแก้ปัญหาให้ถูกจุดต่อไป
@ เจ็บใจ กมธ.ตัดงบซื้อเครื่องดูแลเด็กป่วยโรคหัวใจ
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า กระทรวงนี้เป็นส่วนที่พรรคก้าวไกลอภิปรายน้อยที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่เราเห็นว่างบประมาณที่ได้รับการจัดสรรอาจจะยังต่ำไปด้วยซ้ำกับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขในประเทศไทย ที่ควรจะต้องมีการบริหารจัดการและดำเนินการให้ครอบคลุมอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ตนยังติดใจ วงเงินที่ถูกปรับลดไป 60 ล้านบาท มาจาก ค่าใช้จ่ายในการเสริมสร้างความรอบรู้และพัฒนาพฤติกรรมของสุขภาพจิตที่พึงประสงค์ของประชาชน กรมสุขภาพจิต ดังนั้นงบประมาณในส่วนกรมสุขภาพจิตเป็นสิ่งจำเป็น แม้กระทั่งการปรับปรุงสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ก็ต้องทำ
นอกจากนั้นยังพบการตัดงบประมาณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ที่เรียกว่าโรงพยาบาลเด็ก ตัดงบเครื่องเฝ้าติดตามการทำงานหัวใจและระบบไหลเวียน ทั้งที่อัตราการเสียชีวิตจากหัวใจในเด็กนั้นสูงมาก หากเทียบกับอัตราการเกิด พบว่าโรคหัวใจแต่กำเนิดจะพบป่วย 800 คนต่ออัตราการเกิด 1 แสนคน ขณะเดียวกันโรคหัวใจหลังกำเนิดก็จะเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
“ที่น่าเจ็บใจคือ โรงพยาบาลเด็กดูแลโรคเฉพาะทางเรื่องนี้ มีคนมารักษาเต็มไปหมด แต่ได้รับการจัดสรร 3 ล้านบาทเองเท่านั้น ยังถูกตัดทิ้งทั้ง 2 เครื่อง เด็กไม่มีตัวตน พูดเองไม่ได้ แต่ผมเรียกร้อง ไม่ขอคืน เพราะผิดรัฐธรรมนูญ แต่ขอถามว่าท่านตัดงบประมาณในส่วนนี้ทำไม” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ กมธ.ชี้แจงประเด็นของนายณัฐวุฒิ ว่า การจัดซื้อชุดศูนย์กลางเครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและระบบหมุนเวียน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ จำนวน 2 ชุด วงเงิน 3 ล้านบาทที่ถูกปรับลด ขอกราบเรียนว่า การตัดสินใจงบประมาณ เรามาพิจารณาปี 2564 ใช้งบปี 2565 แต่วางแผนมาตั้งแต่ปี 2563 จึงมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ซึ่งการจัดซื้อดังกล่าวได้วางแผนมาตั้งแต่ปี 2563 แต่ปัจจุบันมีผู้บริจาคเครื่อง 2 ชุดนี้ให้กับกรมการแพทย์ ทำให้กรมการแพทย์คิดว่าไม่จำเป็น จึงได้ขอให้ กมธ.ปรับลดงบประมาณในส่วนนี้
@ ‘วรวัจน์’ อัดปล่อยคนงานกลับ ตจว.เหตุระบาดทั่วประเทศ
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ในฐานะ กมธ. อภิปรายปรับลดงบ 3% ระบุว่า มาตรา 47 แห่งรัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ และวรรคสามระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถามคนไทยทุกคน การป้องกันโควิด แอลกอฮอล์ซื้อเอง หน้ากากอนามัยซื้อเอง แม้แต่ฟ้าทะลายโจรก็ต้องซื้อเอง แล้วรัฐอยู่ไหน ทั้งที่เป็นสิทธิของประชาชนที่จะได้รับการป้องกันแจะขจัดโรคติดต่ออันตราย
ปี 2563 เชื้อโควิดคืออัลฟ่า เราใช้ซิโนแวคอาจจะใช่ แต่ขณะนี้มีการกลายพันธุ์ไปแล้ว วัคซีนซิโนแวคใช้ไม่ได้ผล หมดสภาพไปแล้ว อย่างต่ำที่สุดควรเป็นไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา อะไรก็ได้ที่มีความมั่นใจสูงกว่านี้ รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเป็นอะไร ถึงปล่อยสิ่งเหล่านี้เอาไว้
ส่วนผู้ป่วยที่มีสะสมเกินกว่าล้านคน ผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน แม้จะมีคนหายป่วยเยอะกว่า 7 แสนคน พบว่าผู้ป่วยปอดถูกทำลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเป็นคนที่ไม่แข็งแรงอีกต่อไป มีข้อมูลที่ตนได้ในชั้น กมธ. พบว่า กทม.มีคนอยู่ในโรงงาน 7.5 แสนคนปริมณฑลอีก 1.3 แสนคน รวม 8.8 แสนคน แต่วันดีคืนดี มีมาตรการปิดโรงงาน ให้ผู้ประกอบการจ่ายเงินรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง สิ่งที่รัฐดูแลกลับไปคือข้าวกล่อง ต่อมาพบว่ามีคนในโรงงานและปล่อยออกไปสู่ต่างจังหวัดนับล้านคน ปัญหายากเกินที่จะแก้ไข และต้นสายปลายเหตุมาจาก แรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองมาจาก จ.ตาก ที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ปีก่อน แต่วันนี้หัวโจกยังอยู่ น่ารังเกียจมาก และเป็นสิ่งที่รับไม่ได้
นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ กมธ.อภิปราย ว่า ในการปรับลดงบประมาณในชั้น กมธ.ได้ปรับลดไป 60 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก เพราะหลายฝ่านยเข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขสำคัญในการต่อสู้กับสถานการณ์โควิด แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดงบประมาณทุกหน่วยงานในชั้น กมธ. 1.6 หมื่นล้านบาท ก็ได้ถูกใส่ไว้ในงบกลางเพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด เป็นสิ่งยืนยันว่า กมธ.เห็นความสำคัญในการแก้ปัญหาโควิด ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแพทย์แผนไทย หรือกรมสุขภาพจิต ได้บรรจุอยู่ในข้อสังเกตของ กมธ.แล้ว
ส่วนเรื่องของวัคซีนจะมีเพียงพอหรือไม่ ได้สอบถามกระทรวงสาธารณสุขได้รับคำตอบว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมวัคซีนหลากหลายยี่ห้อ คือ แอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ซิโนแวค 20 ล้านโดส ซิโนฟาร์ม 5 ล้านโดส และอื่น ๆ อีก 10 ล้านโดสที่จะเป็น mRNA โดยสรุปเตรียมวัคซีนแล้ว 120 ล้านโดส ถามว่าเพียงพอหรือไม่ และทำไมการฉีดถึงล่าช้า ได้รับคำตอบว่า ช่วงแรกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) พยายามจำกัดโรคอยู่ในเขตการแพร่ระบาดของโรคสูง คือ กทม. ทำให้การกระจายไปต่างจังหวัดทำได้น้อยมาก ต่อมาปลาย ก.ค. - ส.ค. ได้เริ่มกระจายวัคซีนไปต่างจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
เมื่อเวลา 14.03 น. หลังใช้เวลาพิจารณางบประมาณกระทรวงสาธารณสุขนานกว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 242 ต่อ 124 งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง เห็นด้วยตามที่ กมธ.เสียงข้างมากได้มีการปรับปรุงแก้ไข
ข่าวประกอบ :
งบประมาณปี 2565 : สภาผ่าน 'งบกลาง' นพ.ชลน่าน จี้ใช้เงิน 1.6 หมื่นล.ซื้อวัคซีน mRNA
งบประมาณปี 2565 : 'ก้าวไกล'อัด กต.ซื้อของฟุ่มเฟือย พท.ขู่รอซักฟอกนโยบายยาง
งบประมาณ 2565 : 'ก้าวไกล'ยอมให้ สธ.ซื้อครุภัณฑ์-ไม่ปรับลด ดีกว่าโยกเข้างบกลางให้นายกฯ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่https://www.facebook.com/isranewsfanpage/