ป.ป.ช.ปัตตานี ชี้มูล “อดีตนายอำเภอเมืองกับพวก” เรียกรับเงินออกใบอนุญาตปืน ส่วนกรณีฮั้วประมูลซ่อมถนนของ อบต.มะนังดาลำ ศาลสั่งจำคุกนายก อบต. ด้าน ป.ป.ช.ยะลา พบทุจริตปลอมเอกสารรับเงินโครงการอบรมศูนย์นวด 3 หลักสูตร ขณะที่ ป.ป.ช.นราธิวาส ชี้มูลความผิด อดีต ผอ.โรงเรียนสุไหงโก-ลก อมเงินบริจาค
เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พ.ค.67 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 9 (รวม จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ได้ร่วมกันแถลงผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่โรงแรมหรรษา เจบี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เฉพาะในส่วนของ ป.ป.ช.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลการดำเนินงานดังนี้
@@ นายอำเภอ - อส. รีดใต้โต๊ะแลกใบอนุญาตพกปืน
สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดปัตตานี คณะกรรมการฯ ได้มีมติชี้มูล
1.นายอดุลย์ หมีดเส็น เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองปัตตานี (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1)
2.นายมังโซ หะยีอาแว ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2)
3.น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข สมาชิกอาสารักษาดินแดน (อส.) กองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.เมืองปัตตานี ที่ 2 (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3)
ได้ร่วมกันทุจริต เรียก และรับเงินเป็นค่าตอบแทนในการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน แบบ ป.3 จากผู้ยื่นคำขออนุญาต เมื่อปี พ.ศ. 2562
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.ย.66 ที่ประชุมคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายอดุลย์ และนายมังโซ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ
และการกระทำของ น.ส.ศรัญยา มีมูลความผิดทางอาญา และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติไม่สมควรตาม พ.ร.บ.วินัยกองอาสารักษาดินแดน
จึงให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาล และส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายอดุลย์ หมีดเส็น, นายมังโซ หะยีอาแว และ น.ส.ศรัญยา บริบูรณ์สุข ตามฐานความผิดดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ต่อไป
อนึ่ง การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
@@ จำคุก นายก อบต.มะนังดาลำ ฮั้วประมูลซ่อมถนน
ในส่วนของ จ.ปัตตานี ยังมีคดีทุจริตที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว กรณีที่ นายมูฮำหมัด ดะกา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมะนังดาลำ (อบต.มะนังดาลำ) อ.สายบุรี จ.ปัตตานี (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1), ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) รุสลันโยธา (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2), นายสุมิตร มะสาและ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.รุสลันโยธา (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3) ได้ร่วมกันทุจริตในการดำเนินโครงการก่อสร้างงานซ่อมสร้างผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต สายบ้านโต๊ะซอ-บ้านลุง หมู่ 5 ต.มะนังดาลำ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.2557 เป็นค่าใช้จ่ายโครงการก่อสร้างงานซ่อมสร้างผิวทางแอสฟัลท์ติก คอนกรีต กว้าง 6 เมตร ยาว 2,000 เมตร หนา 0.04 เมตร จำนวนเงิน 9,690,000 บาท
แต่ในการดำเนินตามโครงการ ผู้ถูกกล่าวหาได้ตกลงร่วมกันในการเสนอราคาจ้าง ไม่จัดทำราคากลางให้ถูกต้อง ร่วมกันปลอมเอกสารและทำเอกสารเท็จของ หจก.วานิชการก่อสร้าง นำมาใช้เป็นคู่เทียบ และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาจ้างเลขที่ 02/2558 ลงวันที่ 9 ธ.ค.57 เพื่อช่วยเหลือให้เป็นประโยชน์แก่ หจก.รุสลันโยธา ทำให้เกิดความเสียหายแก่ หจก.วานิชการก่อสร้าง อบต.มะนังดาลำ และราชการ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายมูฮำหมัด ดะกา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ส่วน หจก.รุสลันโยธา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ นายสุมิตร มะสาและ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.รุสลันโยธา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน
โดยให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาล และส่งสำนวนการไต่สวนไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจกับนายมูฮำหมัด ดะกา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ให้จำเลยที่ 1 จำคุก 3 ปี 9 เดือน จำเลยที่ 2 ให้ปรับเป็นเงินจำนวน 150,000 บาท และจำเลยที่ 3 จำคุก 1 ปี 8 เดือน
@@ ปลอมเอกสารรับเงินโครงการอบรมศูนย์นวด 3 หลักสูตร
ในส่วนของ ป.ป.ช.จังหวัดยะลา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล
1.นายสุชาติ ชายมัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์แผนและนโยบาย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดยะลา
2.นางสุคนธา ตั้งวนาไพร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพยาบาลชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา
3.นายบรรเจิด พัฒนสาร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดยะลา
กรณีร่วมกันทุจริตการจัดอบรม 3 หลักสูตร (กิจกรรมศูนย์นวด) ซึ่งเป็นเหตุให้ทางราชการหรือผู้อื่นได้รับความเสียหาย
หลังดำเนินการจัดอบรมเสร็จสิ้นทั้ง 3 หลักสูตร ปรากฏว่า มีการทุจริตเกี่ยวกับอบรมทั้ง 3 หลักสูตร ดังต่อไปนี้
1.ทุจริตเงินค่าตอบแทนวิทยากรในการจัดอบรม 3 หลักสูตร โดยการกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในใบสำคัญรับเงินค่าตอบแทนวิทยากรผู้ช่วย และปลอมลายมือชื่อผู้ช่วยวิทยากรในใบสำคัญรับเงินค่าตอบแทนวิทยากร
2.ทุจริตค่าประกอบอาหารหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทย และหลักสูตรนวดฝ่าเท้า รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 โดยมีการกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในใบสำคัญรับเงินประกอบอาหาร
3.ทุจริตค่าที่พักการจัดอบรมหลักสูตรสปาเพื่อสุขภาพ โดยมีการกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในใบสำคัญรับเงินค่าห้องพัก
4.ทุจริตการออกปฏิบัติภาคสนามหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทย 372 ชั่วโมง และหลักสูตรสปาเพื่อสุขภาพ โดยกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในใบสำคัญรับเงินค่าตอบแทนออกปฏิบัติภาคสนาม
โดยการกระทำของ นายสุชาติ ชายมัน มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
สำหรับการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 162 (1) (4) มาตรา 264 ประกอบมาตรา 268 ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธิการดำเนินคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ให้ยุติการดำเนินคดีตามฐานความผิดดังกล่าว
ส่วนการกระทำของ นางสุคนธา ตั้งวนาไพร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญา ลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำไปเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร
ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ และมีความผิดทางวินัยตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ด้วย
ส่วนการกระทำของ นายบรรเจิด พัฒนสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 จากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำการอันมีมูลความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาในทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
แต่มีมูลความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของราชการ และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เอาใจใส่ และรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ
โดยให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลกับ นายสุชาติ ชายมัน และ นางสุคนธา ตั้งวนาไพร พร้อมส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับนายสุชาติ ชายมัน ตามฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ส่วน นางสุคนธา ตั้งวนาไพร และนายบรรเจิด พัฒนสาร ให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
@@ ชี้มูลความผิด อดีต ผอ.รร.สุไหงโก-ลก อมเงินบริจาค
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จังหวัดนราธิวาส มีมติชี้มูล นายนิรัตน์ นราฤทธิพันธุ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนสุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย
และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
สืบเนื่องจาก นายนิรัตน์ นราฤทธิพันธุ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนสุไหงโก-ลก ได้รับเงินบริจาคจากคู่สัญญาของโรงเรียน แต่ไม่นำเงินบริจาคไปมอบให้แก่ฝ่ายการเงินโรงเรียนสุไหงโก-ลก แต่กลับนำเงินบริจาคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของนายนิรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญาและได้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหา
และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและความรับผิดทางละเมิดแล้ว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ