
"...สำนักข่าวอิศรา ใช้เครื่องมือ ChatGPT สืบค้นข้อมูลพบว่า แจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชน และมีการใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของ ของเจ้าหน้าที่รัฐ เคยมีข้อกำหนดกระทรวงมหาดไทย แจ้งเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ กำกับควบคุมดูแลห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการในเรื่องนี้ มาตั้งแต่ปี 2550 หลังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ในการใช้งบประมาณรัฐ มาใช้ในการหาเสียงล่วงหน้า..."
กรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนคดีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมกรณีการแจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ที่ได้รับการสนับสนนถุงยังชีพมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แต่มีการติดสติกเกอร์ชื่อตนเองข้างถุง ขณะที่ภายในถุงมีข้าวสารของตนเองรวมอยู่ด้วย และยังไปร่วมแจกถุงยังชีพด้วยตัวเอง
โดยล่าสุด ป.ป.ช. ได้มีการทำหนังสือเรียกตัว นายพีระพันธุ์ มารับทราบข้อกล่าวหาเป็นทางการ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และให้ใช้สิทธิ์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก่อนสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนการไต่สวนต่อไป ถ้าหาก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดก็จะมีการส่งสำนวนฟ้องร้องคดีต่อศาลฏีกาต่อไป
ขณะที่เจ้าตัวยืนยันว่า รู้เรื่องแล้ว เพราะถูกกลั่นแกล้งมาตั้งนานแล้ว และพร้อมที่จะเข้าชี้แจงเรื่องนี้ ต่อ ป.ป.ช.

- ป.ป.ช.ไต่สวนคดี 'รมต.'ปริศนา แจกถุงยังชีพติดชื่อตัวเอง-แจ้งรับทราบข้อกล่าวหา15 พ.ค.
- กรณีเดียว รมต.ปริศนา! 'พิมพ์ภัทรา' รอด ป.ป.ช.ไม่แจ้งข้อกล่าวหาแจกถุงยังชีพติดชื่อตัวเอง
- เปิดหลักฐาน 'พีระพันธุ์' แจกถุงยังชีพติดสติกเกอร์ตัวเอง -'พิมพ์ภัทรา' โชว์คลิปหรา tiktok
สาธารณชนอาจมีข้อสงสัยว่า การที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไปแจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ที่ได้รับการสนับสนนถุงยังชีพมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แต่มีการติดสติกเกอร์ชื่อตนเองข้างถุง ขณะที่ภายในถุงมีข้าวสารของตนเองรวมอยู่ด้วย และยังไปร่วมแจกถุงยังชีพด้วยตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่มีความผิด เข้าข่ายคดีฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรา ใช้เครื่องมือ ChatGPT สืบค้นข้อมูลพบว่า แจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชน และมีการใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของ ของเจ้าหน้าที่รัฐ เคยมีข้อกำหนดกระทรวงมหาดไทย แจ้งเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ กำกับควบคุมดูแลห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการในเรื่องนี้ มาตั้งแต่ปี 2550 หลังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ในการใช้งบประมาณรัฐ มาใช้ในการหาเสียงล่วงหน้า
จุดเริ่มต้นเรื่องนี้ มาจากในช่วงเดือนสิงหาคม 2550 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อขอให้ทบทวนและกำหนดมาตรการป้องปราม กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เงินงบประมาณของทางราชการจัดซื้อสิ่งของแจกให้ราษฏรโดยใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของ เพื่อเป็นการหาเสียง ทั้งที่เป็นการจัดหาโดยใช้เงินงบประมาณของทางราชการ
สตง.ระบุในหนังสือว่า ข้อร้องเรียนทำนองเดียวกันนี้ มีเป็นจำนวนมากและหากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ มีการการดำเนินการดังกล่าวจริงตามข้อร้องเรียนย่อมเป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม เอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น นอกจากนั้นการพิมพ์/สกรีนชื่อ ลงบนสิ่งของที่แจกจ่ายโดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินอาจทำให้ การจัดหามีราคาสูงขึ้น และอาจมีคุณภาพลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมทั้งอาจมีผลกระทบต่อการตรวจรับพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พิจารณาทบทวนและกำหนดมาตรการป้องกันและป้องปรามรวมทั้งควบคุมกำกับดูแล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่โดยการจัดหาสิ่งของแจกจ่ายโดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมโปร่งใส ไม่ก่อให้เกิดปัญหาข้อร้องเรียนและขัดแย้งกันในท้องถิ่นเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
หลังจากนั้น ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 กระทรวงมหาดไทย ได้รับลูกข้อเสนอของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือที่ มท 0808.2/3 3475 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2550 แจ้งเวียน ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างเหมาะสมโปร่งใส ไม่มีผลกระทบต่อการจัดหาที่อาจทำให้มีราคาสูงขึ้น อีกทั้งไม่เป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนดน พร้อมแจ้งแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. วัสดุสิ่งของที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปช่วยเหลือประชาชน หรือเงินอุดหนุนหน่วยงานอื่น โดยใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่สามารถระบุข้อความหรือรูปภาพหรือระบุชื่อหรือสัญลักษณ์อื่นใดของผู้ช่วยเหลือ เช่น ให้การสนับสนุนโดยนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น เป็นต้น แต่สามารถระบุได้เฉพาะชื่อหน่วยงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. การประชาสัมพันธ์ผลงานขององค์กรปกคร้องส่วนท้องถิ่น เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์ แผ่นพับ ปฏิทิน เป็นต้น หากมีภาพกิจกรรมต่างๆ จะต้องเป็นกรณีที่องค์ประกอบของภาพบ่งบอกถึงกิจกรรมนั้น ๆ เช่น การจัดงานวันสำคัญต่า งๆ การช่วยเหลือประชาชนที่เกิดสาธารณภัย การรณรงค์ ขจัดยาเสพติด เป็นต้น
3. การให้ความช่วยเหลือ จะกระทำได้เฉพาะกรณีจำเป็น และเป็นไปอย่างประหยัด และการดำเนินการดังกล่าว จะต้องไม่ส่อไปในทางหาเสียง เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองท้องถิ่น
4. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญในการจัดทำโครงการที่ใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะที่ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างจริงจัง ไม่สมควรตั้งงบประมาณในลักษณะฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นต่อการปฏิบัติราชการ หรือตั้งงบประมาณในลักษณะเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนบุคคล เพื่อมิให้เกิดปัญหาในข้อร้องเรียน และถูกดรวจสอบจากสำนักงานการดรวจเงินแผ่นดิน
5. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด / นายอำเภอ กำกับดูแลการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นดามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด



ต่อมาในช่วงเดือนก.พ.2552 กระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือเวียนแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของทางราชการ จัดซื้อสิ่งของแจกราษฏร โดยใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของและการตั้งงบประมาณในลักษณะเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนบุคคลเพิ่มเติม เป็นฉบับที่ 2
ระบุว่า ด้วยมีบุคคลได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีจัดทำรายงานกิจการเทศบาลปี 2548 -2551 ไม่ถูกต้องตามแบบรายงานกิจการทั่วไปและมีเนื้อหาในลักษณะเป็นการหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งเป็นการขัดต่อหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.2/ว 3475 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2550 เรื่อง ขอให้ทบทวนและกำหนดมาตรการป้องปราม กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เงินงบประมาณของทางราชการจัดซื้อสิ่งของแจกให้ราษฎรโดยใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของ
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า แม้การประชาสัมพันธ์ผลงานของเทศบาลจะสามารถทำได้และไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แต่การที่รายงานกิจการมีภาพกิจกรรม ข้อความและรูปภาพที่มีลักษณะบ่งเฉพาะที่ทำให้รูปภาพของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและข้อความนั้นมีลักษณะที่ทำให้ประชาชนหรือผู้อ่านรายงานกิจการนั้นทราบและเข้าใจได้ว่ารูปภาพและข้อความนั้นเป็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลอื่นทั่วไปกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเพื่อระบุว่ารูปภาพและข้อความนั้นเป็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ผลงานส่วนตน
รายงานกิจการดังกล่าวจึงเป็นการตั้งงบประมาณในลักษณะเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนบุคคลและส่อไปในทางเพื่อการหาเสียงล่วงหน้า ก่อนจะครบวาระการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและเป็นการไม่สอดคล้องกับหนังสือกระทรวงมหาดไทยข้างต้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและป้องปราม รวมทั้งเพื่อควบคุมกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้เงินประมาณของทางราชการให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและโปร่งใส
ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 แจ้งไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้กำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามนัยหนังสือดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป
กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว เพื่อให้การใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงขอซักซ้อมแนวทางปฏิบัติดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด/นายอำเภอ กำกับดูแลการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดมาตรการป้องปราม กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เงินงบประมาณของทางราชการจัดซื้อสิ่งของแจกให้ราษฎรโดยใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของและการตั้งงบประมาณในลักษณะเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนบุคคล ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.2/ว 3475 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2550 โดยเคร่งครัด
2. หากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัด/นายอำเภอ พิจารณาดำเนินการตามอำมอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด


จากข้อมูลที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้างต้น จะเห็นได้ว่า
หนึ่ง.
การจัดซื้อสิ่งของแจกให้ราษฏรโดยใส่ชื่อของตนลงบนสิ่งของ ทั้งที่ สิ่งของที่นำมาแจกเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานรัฐ เข้าข่ายการกระทำเพื่อเอื้อประโยชน์ เพื่อหาเสียงให้กับตนเองของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม มีข้อกำหนดห้ามปฏิบัติมาตั้งแต่ ปี 2550 หรือเมื่อประมาณ 18 ปี ที่แล้ว หลังถูก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบพบและแจ้งข้อร้องเรียนไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้กำกับดูแลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเข้มงวด


@ ภาพถุงยังชีพของกระทรวงมหาดไทย ในปัจจุบัน ที่ไม่มีการระบุชื่อและรูปนักการเมือง
สอง.
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นเดียวกับ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การที่ นายพีระพันธุ์ ไปแจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ที่ได้รับการสนับสนนถุงยังชีพมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐวิสาหกิจรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัด ถุงยังชีพที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดซื้อมาถือเป็นเงินหลวง แต่มีการติดสติกเกอร์ชื่อนายพีระพันธุ์ ข้างถุงเพิ่มเติม
จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ในการใช้งบประมาณรัฐ มาใช้ในการหาเสียงล่วงหน้า เป็นการกระทำฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง ประกอบ ข้อ 27 วรรคสองระบุว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 2 และหมวด 3 จะถือว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนหรือไมปฏิบัติ
สาม.
ส่วนกรณีที่ นายพีระพันธุ์ อ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งมาตั้งนานแล้ว ในที่นี่ ไม่มีข้อมูลยืนยันว่า นายพีระพันธุ์ ถูกกลั่นแกล้งโดยใคร? หรือกลุ่มบุคคลใด? และด้วยวิธีการใดบ้าง?
แต่กรณีนี้ หากนายพีระพันธุ์ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่เป็นถึง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง หาก รับรู้ ข้อห้ามปฏิบัติในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่กระทำการฝ่าฝืน ข้อห้ามที่กำหนดไว้ ก็คงไม่ต้องถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบในเรื่องนี้
เพราะมีกรณีเปรียบเทียบจาก กรณีนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการส่งแชร์รูปภาพการจัดส่งถุงยังชีพของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไปยังผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีสติ๊กเกอร์ของนางสาวพิมพ์ภัทรา ติดอยู่ที่ถุงยังชีพจนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ป.ป.ช.ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้ไปร่วมแจกถุงยังชีพด้วย และพอทราบเรื่องก็สั่งให้มีการแกะชื่อตนเองออก พร้อมชี้แจงว่าเป็นการเข้าใจผิด และขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่างจาก นายพีระพันธุ์ ที่ถูก ป.ป.ช.แจ้งให้มารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากไปร่วมแจกถุงยังชีพด้วยตนเอง และมีรูปภาพเป็นหลักฐานยืนยันด้วย
อย่างไรก็ดี คดีนี้ ป.ป.ช.ยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนชี้มูลความผิด นายพีระพันธุ์ แต่อย่างใด นายพีระพันธุ์ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
นายพีระพันธุ์ จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. อย่างไร? เหตุผลมีน้ำหนักฟังขึ้นหรือไม่?
จับตาดูวันที่ 15 พ.ต.นี้ น่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา