ป.ป.ช.แพร่แนวทางป้องกันการทุจริตช่วงโควิด-19 ชงหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ไข หลังออกโครงการ ‘ปักหมุดพื้นที่เสี่ยงโกง’ ให้ ปชช.มีส่วนร่วม พบ 928 แห่งทั่วประเทศสุ่มเสี่ยง สารพัดพฤติการณ์กักตุนสินค้า-ขายราคาสูง-ทุจริตบริหารจัดการงบประมาณ-เอื้อประโยชน์พวกพ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2563 นายนิวัฒน์ไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงถึงแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีโครงการ “การปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ท่ามการวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19” เพื่อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องและแจ้งเบาะแสการทุจริตทั่วประเทศ เพื่อสามารถป้องกัน ป้องปรามยับยั้งการทุจริต ดังที่ได้มีการแถลงข่าวไปก่อนแล้ว นั้น ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักส่งเสริมและบูรณาการมีส่วนร่วมต้านทุจริต สำนักวิจัยและบริหารวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ได้ต่อยอดการดำเนินการจากการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ พัฒนาไปสู่การวิจัยเชิงกรณีศึกษา เรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเสนอแนวทางการป้องกันการทุจริตในกรณีดังกล่าวรวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา โดยผลของการดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
1. ผลการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ ซึ่งผลจากการมีส่วนร่วมของประชาชนร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศ ได้นำมาจัดทำเป็น “แผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping)” ที่จะแสดงผลให้เห็นความเสี่ยงในการทุจริตและระดับความรุนแรงของการทุจริตของ อำเภอ/เขต ในจังหวัด ในครั้งนี้พบว่าจากพื้นที่ทั้งหมด 928 แห่งทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 75 ของพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต โดยมีความเสี่ยงในระดับที่เป็นไปได้สูงมากร้อยละ 13, มีความเป็นไปได้สูงร้อยละ 35 และมีความเป็นไปได้ปานกลางร้อยละ 48
2. ผลการวิจัยเชิงกรณีศึกษาเรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤตฯ พบพฤติการณ์ส่อการทุจริตคือ มีการกักตุนสินค้า/จำหน่ายสินค้าในราคาสูง , มีพฤติการณ์ทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน, การจัดซื้อจัดจ้าง , การเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอกชนที่เป็นพรรคพวก และมาตรการเกี่ยวกับการเยียวยา โดยปัจจัยเหตุที่ส่งผลคือ ความต้องการที่สินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ , มาตรการควบคุมราคาสินค้าของภาครัฐไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ , การกำหนดคุณสมบัติและราคากลางในการจัดซื้อพัสดุของหน่วยงานของรัฐไม่ครอบคลุมสินค้าจำเป็นในช่วงวิกฤติ , ความไม่สมบูรณ์ของระบบฐานข้อมูลภาครัฐ เป็นต้น
3. ผลการวิเคราะห์และข้อเสนอแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติฯ ทั้งกรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้ผลสรุปจำแนกตามพฤติการณ์การทุจริต ได้แก่ การทุจริตเชิงนโยบายในการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน , การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง , การทุจริตในการเอื้อประโยชน์ , การทุจริตในการกักตุนสินค้า การค้ากำไรเกินควร , การทุจริตเงินเยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ , การทุจริตสิ่งของหรือเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งในรายละเอียดของข้อเสนอแนะในแต่ละพฤติการณ์นั้นจะประกอบด้วยหลักการสำคัญได้แก่ (1) การทบทวนกฎหมายและกำหนดแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน (2) การบูรณาการและเปิดเผยข้อมูลผ่าน “Online Platfrom” (3) การตรวจสอบเชิงรุก (4) การสอดส่องและแจ้งเบาะแส (Watch and Voice)
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในขั้นตอนต่อไปก็จะมีการจัดทำข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับรายละเอียดของแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.nacc.co.th
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/