EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 65 เป็นขยายตัว 3% จากเดิม 2.9% หลังภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว มองนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 10.3 ล้านคน
....................................
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับเพิ่มคาดการณ์การอัตราขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เป็น 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.9% และปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ เนื่องจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดนทั่วโลก
ทั้งนี้ EIC ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มเป็น 10.3 ล้านคนในปีนี้ และ 28.3 ล้านคนในปี 2566 หลังจีนมีแนวโน้มเริ่มเปิดประเทศผ่อนคลายการท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายปีนี้ ประกอบกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิด COVID-19 ในปี 2566 ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดันจากค่าครองชีพที่ยังสูงอยู่ ทำให้ EIC ปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2565 เป็น 6.1% จากเดิมที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัว 5.9% และคาดว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับลดลงอย่างช้าๆ อยู่ที่ 3.2% ในปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังราคาสินค้าในกลุ่มอื่นที่มีมากขึ้น ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EIC และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า EIC ปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในปีนี้ และมองว่าเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายในปีหน้าอีกปี ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ รวมถึงกระทบต้นทุนและการลงทุนของธุรกิจ
เมื่อมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบางอยู่ บางกลุ่มครัวเรือนและภาคธุรกิจมีความเสี่ยงรายได้โตไม่ทันค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย และธุรกิจขนาดเล็ก นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยราว 5% ในปลายปีนี้ ซึ่งยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อสะสมนับตั้งแต่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งสุดท้ายในปี 2563 ทำให้แรงงานที่พึ่งพาค่าจ้างขั้นต่ำมีรายได้ที่แท้จริงลดลง
ขณะที่ผู้ประกอบการมีต้นทุนค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากแรงงานต่างชาติออกจากประเทศแล้วยังกลับเข้ามาไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินยังมีแนวโน้มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั้งในไทยและประเทศเศรษฐกิจหลัก ยิ่งซ้ำเติมแผลเป็นทางเศรษฐกิจจากวิกฤต COVID-19 ที่มีอยู่ก่อนแล้ว
นายสมประวิณ ระบุว่า ในภาพรวม EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการมากขึ้น แทนที่ภาคการผลิตเพื่อส่งออกและการลงทุน แต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศจะยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ทยอยลดลงไม่เร็วนักไปจนถึงสิ้นปี 2566 ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลง ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างช้าๆ โดย GDP จะยังไม่กลับไปเท่าช่วงก่อน COVID-19 จนกระทั่งไตรมาส 2 ปี 2566 และเศรษฐกิจไทยยังมี Output gap เป็นลบ และอาจต้องรอจนปลายปี 2567 ที่เศรษฐกิจจะกลับไประดับศักยภาพอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า กนง. มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือน ก.ย. และ พ.ย. สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% สู่ระดับ 2% ณ สิ้นปีหน้า เพื่อให้นโยบายการเงินค่อย ๆ กลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว
สำหรับค่าเงินบาทนั้น เผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าจาก 1) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐตามทิศทางนโยบายการเงินตึงตัวของ Fed และความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย 2) เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอกว่าคาด ทำให้เงินหยวนและค่าเงินภูมิภาค รวมถึงเงินบาทอ่อนค่า 3) เงินทุนไหลออกจาก EMs รวมถึงไทยในช่วงที่นักลงทุนปิดรับความเสี่ยง และ 4) การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า เงินบาทจะมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นจาก 1) เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง 2) ดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะกลับมาเกินดุลปลายปีนี้ (EIC ประเมินว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 จะกลับมาเกินดุลได้ที่ 1.5% ต่อ GDP) 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้าตลาดการเงินไทยตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับดีขึ้น และ 4) อัตราเงินเฟ้อไทยที่จะปรับลดลงเร็วกว่าของสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้ จึงประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าลงมาอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ และ 33.5-34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2566
“เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญในระยะต่อไป คือ (1) ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป กดดันการส่งออกและลงทุนในระยะถัดไป (2) เศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวมากกว่าคาดจากมาตรการ Zero Covid และปัญหาในภาคอสังหาฯ ที่ยังมีหนี้ในระดับสูง (3) เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากราคาโภคภัณฑ์ที่กระทบกาลังซื้อของครัวเรือน และต้นทุนในภาคธุรกิจ
(4) ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคการผลิตและลงทุน ดังนั้น บทบาทของภาครัฐในการดูแลกลุ่มเปราะบางยังคงมีความจำเป็นอยู่ ขณะที่ข้อจำกัดทางการคลังมีมากขึ้นจากทั้งเม็ดเงินและกรอบระยะเวลาใน พ.ร.ก กู้เงิน 5 แสนล้านบาทที่ใกล้หมดลง โดยในระยะถัดไปคาดว่าแรงสนับสนุนจากภาครัฐจะเป็นไปอย่างเฉพาะจุดมากขึ้น” นายสมประวิณ กล่าว
น.ส.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน EIC กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจนขึ้น ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคในครึ่งแรกของปีชะลอตัวลงชัดเจนทั่วโลก ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคในหลายประเทศก็ปรับลดลงใกล้ระดับวิกฤตรอบก่อนๆ แล้ว
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เศรษฐกิจโลกน่าจะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง เพราะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วพร้อมกันทั่วโลก วิกฤตพลังงานในยูโรโซนที่จะทวีความรุนแรงขึ้น และการชะลอตัวลงอย่างมากของเศรษฐกิจจีน รวมถึงปัญหาอุปทานคอขวดมีแนวโน้มฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาดไว้ EIC จึงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลงจาก 3.2% มาอยู่ที่ 3.0% และในปีหน้าจะขยายตัวชะลอลงอีกไปอยู่ที่ 2.7% ที่สำคัญคือ
ทั้งนี้ EIC มองว่า ช่วงปลายปีนี้ถึงสิ้นปีหน้าอาจเริ่มเห็นเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ยูโรโซน และสหรัฐฯ แต่คาดว่าการถดถอยจะไม่รุนแรง (Mild recession) เนื่องจากสถานะการเงินของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของตลาดแรงงานยังเข้มแข็งพอรองรับได้อยู่
“สำหรับเงินเฟ้อโลกที่เร่งตัวมามาก ก็เริ่มผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 3 และน่าจะชะลอตัวลงบ้างในช่วงปลายปี จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับลดลงและอุปทานคอขวดที่ทยอยคลี่คลาย EIC มองว่า แม้เงินเฟ้อจะชะลอลง แต่จะยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางไปอีก 1-2 ปี เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปทานในภาคพลังงาน อาหาร และสินค้าคงทน คลี่คลายช้ากว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ อีกทั้ง ค่าจ้างจะยังอยู่ในระดับสูงตามการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
จึงมองว่า ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ อีกเรื่องสำคัญในโลกที่ต้องติดตาม คือ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของห่วงโซ่การผลิต โดย EIC ประเมินในกรณีฐานไว้ว่า ความขัดแย้งระหว่างไต้หวันและจีนจะยังไม่รุนแรงขึ้น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะสั้นจึงจะมีจำกัด แต่การแบ่งขั้วระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี
ในระยะต่อไปความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่สูงขึ้น จะทำให้ธุรกิจข้ามชาติเริ่มหาทางปรับกระบวนการผลิต ซึ่งจะเห็นผลกระทบ 4 ด้านด้วยกัน คือ (1) การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลดลง (2) ธุรกิจย้ายมาตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคใกล้เคียงหรือในประเทศมากขึ้น (3) ธุรกิจผลิตสินค้าคงคลังมากขึ้น และ (4) การเคลื่อนย้ายทรัพยากรระหว่างประเทศจะลดลง” น.ส.ฐิติมา ระบุ