'วิจัยกรุงศรี' คาดมีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่ กนง.อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในปีนี้ หากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ยังเพิ่มขึ้น-รัฐบาลขยายล็อกดาวน์-มาตรการการเงินการคลังน่าผิดหวัง
..........................
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ออกรายงานวิเคราะประจำสัปดาห์ว่า กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เติบโต 0.7% พร้อมส่งสัญญาณอาจผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยกรรมการ 2 ท่าน เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเป็นมาตรการเสริมในการช่วยพยุงและรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงในระยะข้างหน้านั้น
วิจัยกรุงศรี ประเมินความน่าจะเป็นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. ครั้งถัดไป ในเดือน ก.ย.2564 จะมีเพิ่มมากขึ้น หากเกิดปัจจัยใน 3 กรณี ได้แก่
1.ประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งประสิทธิภาพและการฉีดวัคซีนต่ำกว่าคาด ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้จำเป็นต้องขยายเวลาการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์นานขึ้น
2.การแพร่ระบาดในประเทศ และมาตรการล็อกดาวน์มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย และแผ่ลามกระทบไปยังภาคส่งออกที่เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโตเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ในปีนี้
3.มาตรการทางคลังและความช่วยเหลือทางการเงินที่กำลังทยอยเพิ่มเติมมีความน่าผิดหวังหรือไม่เพียงพอที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบของการระบาดของ COVID-19
วิจัยกรุงศรี ยังระบุว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยอาจสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มราคาพลังงานที่ยังทรงตัวในระดับสูง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางชนิดอาจปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่ยังรุนแรงและยืดเยื้อ ส่งผลให้อุปสงค์อ่อนแอลงมาก สะท้อนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภค
"ล่าสุดเดือน ก.ค. อัตราเงินเฟ้อทั่งไปปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงความต่อเนื่องจากมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และยังอยู่ในระดับต่ำซึ่งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องในยามที่เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะวิกฤติ" วิจัยกรุงศรีระบุ
วิจัยกรุงศรี ประเมินภาวะเศรษฐกิจโลก ว่า เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญความไม่แน่นอนจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯยังมีสัญญาณบวก ตลาดแรงงานสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลจากไวรัสกลายพันธุ์อาจจำกัดเฉพาะธุรกิจภาคบริการในพื้นที่แพร่ระบาด โดยในเดือน ก.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 9.43 แสนตำแหน่งสูงกว่าตลาดคาด ส่วนอัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดเมื่อเดือนมี.ค. 2563
"การฟื้นตัวของตลาดแรงงานมีสัญญาณดีขึ้นสะท้อนว่าการขาดแคลนกำลังคนในธุรกิจบางสาขาเริ่มคลี่คลาย กรรมการเฟดบางท่านประเมินว่าเศรษฐกิจอาจสามารถปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสู่เป้าหมายระยะยาวของเฟดภายในปลายปีหน้า ขณะที่รัฐมนตรีคลังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวและจะปรับตัวลงในช่วงปลายปี" วิจัยกรุงศรีระบุ
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันพุ่งสูงเกินกว่า 1 แสนรายเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในพื้นที่ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ โดยเฉพาะรัฐฟลอริดา เท็กซัส มิสซูรี และอาร์คันซอ คาดว่าภาครัฐจะไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์แต่จะเพิ่มความเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดเพียงเฉพาะจุด และอาจส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคบริการในพื้นที่ดังกล่าวชะลอลง ขณะที่เศรษฐกิจโดยภาพรวมยังปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนอังกฤษเปิดเผยแนวทาง QE Tapering แต่ยังไม่เร่งปรับลด QE ส่วนข้อจำกัดด้านอุปทานและไวรัสสายพันธุ์เดลต้าอาจมีผลต่อการฟื้นตัว ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.1%
ขณะที่แสดงความกังวลถึงอัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจพุ่งสูงขึ้นชั่วคราวสู่ระดับ 4.0% ในไตรมาสที่ 4/2564 ถึงไตรมาสที่ 1/2565 นอกจากนี้ ยังระบุถึงแนวทางการปรับลดวงเงินเพื่อเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) ดังนี้
1.เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับ 0.5% BOE จะไม่นำรายได้จากการขายพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษที่ครบอายุไถ่ถอนกลับมาลงทุนใหม่ และ 2.เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับ 1.0% BOE จะเริ่มขายพันธบัตรที่ถือครองอยู่ออกไป
"BOE ยังจำเป็นต้องคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป วิจัยกรุงศรีคาดว่า BOE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.50% และเริ่มปรับลด QE ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566"
ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่มีแรงกดดันจากทางการต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรวมถึงการระบาดระลอกใหม่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและบริการเดือนกรกฎาคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนปรับตัวสู่ระดับ 52.4 ลดลงเป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีฯนอกภาคการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 53.3 ส่วนดัชนีฯภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 50.4 ต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ทั้งนี้ ตัวเลขล่าสุดสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มเติบโตช้าลงจากช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการควบคุมการเก็งกำไรเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่มีคุณภาพ ล่าสุดทางการจีนส่งสัญญาณควบคุมธุรกิจเกมออนไลน์และวิดีโอสตรีมมิ่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น นอกจากนี้ จีนยังอาจเผชิญความไม่แน่นอนจากโรค COVID-19 ระลอกใหม่โดยเฉพาะการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์เดลต้ารวมถึงอุทกภัยในมณฑลเหอหนาน
แต่คาดว่าผลกระทบอาจมีจำกัดจากการเร่งควบคุมการระบาดและการเร่งกลับมาผลิตหลังน้ำท่วมคลี่คลาย ประกอบกับการออกมาตรการภาครัฐเพื่อเยียวยา ควบคู่กับการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปเพื่อบรรเทาการชะลอตัวและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจจริง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/