"...ณ เวลานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นพ้องต้องกันหมดว่า ไวรัสนั้นมีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ ...ผู้สงสัยหลักในกรณีนี้ก็คือค้างคาว เพราะว่าเป็นสัตว์ที่รวมเชื้อโคโรน่าไวรัสเข้าไว้ด้วยกัน แต่ก็มีการเพิ่มสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งน่าจะเป็นตัวกลางในการนำเชื้อ SARS-CoV-2 เข้าสู่มนุษย์ด้วย ตัวนิ่ม สัตว์สงวนที่อยู่ในตลาดค้าสัตว์ป่าเถื่อนนั้น ถูกตั้งข้อสันนิษฐานจากนักวิทยาศาสตร์เอาไว้ว่า น่าจะเป็นพาหะสำคัญในการนำเอาเชื้อโควิดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์..."
..........................
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ณ เวลานี้
ที่ผ่านมามีความพยายามจากหลายฝ่ายในการสืบสวนหาสาเหตุแท้จริงของต้นตอการแพร่ระบาดไวรัสว่ามาจากที่ไหนกันแน่ แต่จนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก
ข้อมูลที่เคยปรากฎไปก่อนหน้านี้ คือ การตอบโต้กันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวโทษว่าไวรัสนั้นแพร่มาจากประเทศจีน ขณะที่ทางการจีนก็ตอบโต้ว่า การระบาดนั้นมาจากสหรัฐฯ หรือมาจากประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ประเทศจีน
ล่าสุด ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวภาคภาษาอังกฤษทั่วโลก ได้นำเสนอรายงานข่าวภาษาอังกฤษของสำนักข่าว AFP ที่ชื่อว่า “Mystery still shrouds Covid-19 origin” หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าความลึกลับที่ยังคงปกคลุมต้นกำเนิดของไวรัสโควิด-19 มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เรียบเรียงข้อมูลมานำเสนอ ณ ที่นี้
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากยังคงแข่งขันกันเพื่อที่จะหาวัคซีนมาหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งพยายามที่จะย้อนมองไปถึงต้นตอของการระบาดครั้งนี้ว่า มีที่มาจากไหนกันแน่
โดยทางด้านองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้มีการรวบรวมทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจำนวน 10 คน เพื่อตามหาต้นตอของไวรัส หน้าที่ของพวกเขาเหล่านี้ คือ สืบสวนทั้งสัตว์ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นต้นกำเนิดเชื้อ และสืบสวนว่าคนไข้คนแรกนั้นติดเชื้อได้อย่างไร
“เราต้องการรู้ถึงต้นกำเนิด และเราจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะรู้ถึงต้นกำเนิดของไวรัส” นายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าวไว้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นับจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีอะไรที่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสำเร็จในการติดตามหาต้นกำเนิดของโรคร้ายนี้ได้เลย
@ ต้นกำเนิดของการระบาด
เป็นที่รับรู้กันว่ามีรายงานผู้ป่วยรายแรกเกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อประมาณเกือบ 1 ปีก่อน หลังจากนั้นโรคระบาดก็ได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก
โดย WHO ได้กล่าวว่าเชื่อมั่นว่าการระบาดในเมืองอู่ฮั่นนั้นน่าจะเริ่มมาตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2562
แต่ว่าในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา WHO ได้ระบุในรายงานเพิ่มว่า สถานที่ที่โรคระบาดได้ถูกตรวจพบนั้น ไม่ได้สะท้อนสถานที่การระบาดของโรคได้
และไม่กี่เดือนต่อมา นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศได้ให้ความเห็นไว้ว่า การระบาดนั้นอาจจะเกิดขึ้นนานก่อนหน้าเดือน ธ.ค. 2562 โดยยึดเอาข้อวิเคราะห์จากตัวอย่างน้ำเสียและตัวอย่างเลือด
“ยังคงขาดหลักฐานที่ชัดเจนอันจะสนับสนุนความเห็นดังกล่าว” นพ. Etienne Simon-Loriere จากหน่วยงานไวรัสวิทยาในปารีสกล่าว
ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ ได้พยายามวิเคราะห์ตัวอย่างทางพันธุกรรมของไวรัสเพื่อจะหาความเชื่อมโยงกันของการระบาด ด้วยความหวังว่าจะทำให้เข้าใจรูปแบบการแพร่เชื้อมากขึ้น และเข้าใจว่าไวรัสนั้นมีการพัฒนาไปในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างไร
WHO คาดการณ์ว่าจำนวนกลุ่มผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีความเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลานั้นอาจจะสัมพันธ์กับการพัฒนาการของไวรัสได้
หนึ่งในตลาดที่เมืองอู่ฮั่น (อ้างอิงรูปภาพจาก https://asia.nikkei.com/Spotlight/Coronavirus/China-virus-outbreak-not-currently-spreading-WHO)
@ การแพร่เชื้อของไวรัสไปสู่มนุษย์
ณ เวลานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นพ้องต้องกันหมดว่า ไวรัสนั้นมีต้นกำเนิดมาจากสัตว์
“คำถามใหญ่ก็คืออะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดการติดเชื้อมาสู่มนุษย์” นพ. Etienne Simon-Loriere กล่าว และย้ำว่าผู้สงสัยหลักในกรณีนี้ก็คือค้างคาว เพราะว่าเป็นสัตว์ที่รวมเชื้อโคโรน่าไวรัสเข้าไว้ด้วยกัน
แต่ก็มีการเพิ่มสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งน่าจะเป็นตัวกลางในการนำเชื้อ SARS-CoV-2 เข้าสู่มนุษย์ด้วย
ตัวนิ่ม สัตว์สงวนที่อยู่ในตลาดค้าสัตว์ป่าเถื่อนนั้น ถูกตั้งข้อสันนิษฐานจากนักวิทยาศาสตร์เอาไว้ว่า น่าจะเป็นพาหะสำคัญในการนำเอาเชื้อโควิดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ หลังตรวจสอบข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัสที่พบในตัวนิ่มเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ข้อสันนิษฐานดังกล่าวนั้นก็ยังคงมีข้อถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากทีมสอบสวนของ WHO ยังคงต้องการหาข้อสรุปนี้ให้ชัดเจนด้วยการเข้าไปตรวจสอบที่ตลาดสดในเมืองอู่ฮั่นซึ่งมีการค้าสัตว์ป่าหลายรายการก่อนหน้านี้
ทีมสอบสวนคาดหวังว่าจะได้รับทราบแง่มุมบางประการที่ยังไม่ได้รู้เกี่ยวกับช่วงต้นของการระบาด
นพ. Etienne Simon-Loriere กล่าวว่า คาดว่าทีมสอบสวนของ WHO จะต้องตรวจสอบและหาสัตว์ซึ่งมีเซลล์ที่มีอวัยวะเรียกว่า ACE2 ซึ่งเป็นอวัยวะในเซลล์ของมนุษย์ที่เป็นตัวนำเอาไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
การเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ของไวรัสโควิด 19 (อ้างอิงรูปภาพจาก https://pubs.rsc.org/en/content/articlehtml/2020/ra/d0ra05434h)
ในปัจจุบันมีสัตว์บางชนิด อาทิ ตัวมิงค์ และเฟร์ริต ซึ่งมีอวัยวะที่มีส่วนรับเชื้อคล้ายกับมนุษย์ ขณะที่สัตว์ชนิดอื่นจะมีอวัยวะส่วนรับในเซลล์ที่แตกต่างกันออกไป
ขณะที่ทฤษฎีอื่นๆ ก็ออกจะมีลักษณะไปในทางทฤษฎีสมคบคิดนั้น ระบุถึงข่าวลือว่า สถาบันไวรัสวิทยาที่เมืองอู่ฮั่นมีส่วนต่อการแพร่ระบาดในครั้งนี้
โดยนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็เคยกล่าวไว้ว่า ไวรัสนั้นเป็นสิ่งที่รั่วไหลออกมาห้องแล็บ
ขณะที่ประเทศจีนก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
แต่กับเรื่องนี้นั้น นพ. Etienne Simon-Loriere ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ณ เวลานี้ ยังไม่มีสิ่งที่ยืนยันชัดเจนว่าไวรัสเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์โดยภูมิปัญญามนุษย์
“ทุกองค์ประกอบทางพันธุกรรมสามารถถูกพบได้ในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชื้อโคโรน่าไวรัสซึ่งอยู่ในตัวค้างคาว” นพ. Etienne Simon-Loriere กล่าว
@ การไขปริศนา
WHO เคยกล่าวว่าการเข้าใจว่าโรคระบาดมีที่มาอย่างไรนั้นสำคัญในการป้องกันโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม มีการประกาศด้วยเช่นกันว่าการตามหาว่าโรคระบาดข้ามมาจากสัตว์ไปสู่มนุษย์ได้อย่างไรนั้น อาจเป็นปริศนาที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการหาคำตอบ
“เป้าหมายก็คือต้องเข้าใจกลไกและวางระบบเพื่อป้องกันการเกิดการระบาดของไวรัสอื่นๆอาทิ SARS-CoV-3 หรือ 4 ขึ้นมาอีก”นพ. Etienne Simon-Loriere กล่าว
ยกตัวอย่างเช่นกรณีการระบาดของโรคซาร์สในปี 2005 หลังจากนั้นก็มีการแบน ห้ามไม่ให้บริโภคเนื้อตัวชะมด เนื่องจากสืบทราบว่าตัวชะมดนั้นเป็นพาหะของเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธ์หนึ่ง ซึ่งการแบนดังกล่าวนั้นถือเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำสองในปีถัดๆมา
สำหรับกรณีเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น มีรายงานว่าทาง WHO ได้ส่งทีมล่วงหน้าไปยังกรุงปักกิ่งตั้งแต่เดือน ก.ค.แล้วเพื่อหาต้นตอของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม จนถึง ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไหร่ WHO จะส่งทีมที่ใหญ่กว่าลงพื้นที่
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา WHO เคยออกมาระบุว่าจะส่งทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่กว่าลงพื้นที่โดยเร็วที่สุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯได้กล่าวหากรุงปักกิ่งว่าไม่มีความโปร่งใส และถูกข้อครหาว่า WHO นั้นก้มหัวให้ประเทศจีน โดยพยายามจะลากยาวกระบวนการสอบสวนในครั้งนี้ออกไป
ขณะที่นายเทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาระบุเพียงสั้นๆถึงข้อวิจารณ์ว่า ทุกฝ่ายควรจะหยุดเล่นการเมืองกับเรื่องนี้ได้แล้ว
เรียบเรียงจาก:https://news.yahoo.com/mystery-still-shrouds-covid-19-032321952.html
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage