“…น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4 (บุญยิ่ง นิติกาญจนา) ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และจำเลยที่ 12 (วิวัฒน์ นิติกาญจนา) ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของเครือกาญจนากรุ๊ปจำกัดเอง ก็เล็งเห็นถึงความต้องการของตลาดในการใช้มันสำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบ และราคามันสำปะหลังเส้นในท้องตลาดมีแนวโน้มราคาสูงกว่าเกณฑ์ราคาพื้นฐานที่จะเจรจาต่อรองได้ จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคา…”
..................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 53/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 17/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 60/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 18/2568 ซึ่งเป็นคดีที่อัยการสูงสุด (โจทก์) ยื่นฟ้องจำเลย 13 ราย ในคดีทุจริตการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเส้น เมื่อปี 2553
โดยศาลฯพิพากษาจำคุก นายมนัส สร้อยพลอย (จำเลยที่ 1) จำคุก 10 ปี ส่วน นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ซึ่งปัจจุบันเป็น สส.จังหวัดราชบุรี เขต 2 พรรคกล้าธรรม และ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือ ‘กำนันตุ้ย’ สามีของนางบุญยิ่ง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี (จำเลยที่ 12) นั้น ศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน
ขณะที่ล่าสุดจำเลยในคดีนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ฯ และได้รับการประกันตัวแล้ว นั้น (อ่านประกอบ : ไขคำพิพากษาคดีมันฯ ศาลสั่ง4 หน่วยงานรัฐฟ้องแพ่ง สส.บุญยิ่ง-นายกฯตุ้ย-พวก ชดใช้ 2 พันล.)
ในตอนแรกนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขอนำเสนอพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดและคำวินิจฉัยของศาลฯในคดีนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
@แก้ร่าง TOR ประมูล‘มันเส้น’กีดกันการแข่งขัน-ขัดมติครม.
คดีหมายเลขดำที่ อท 53/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 17/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 60/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 18/2568
โจทก์
-อัยการสูงสุด
ผู้ร้อง
-กรมการค้าต่างประเทศ (ผู้ร้องที่ 1)
-องค์การคลังสินค้า (ผู้ร้องที่ 2)
-กระทรวงพาณิชย์ (ผู้ร้องที่ 3)
-กระทรวงการคลัง (ผู้ร้องที่ 4)
จำเลย
-นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (จำเลยที่ 1)
-บริษัท เอเซีย ฟรุคโตส จำกัด (จำเลยที่ 2)
-นางศิริวรรณ ทรัพย์ส่งแสง กรรมการ บริษัท เอเซีย ฟรุคโตส จำกัด (จำเลยที่ 3)
-นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา (จำเลยที่ 4)
-นางกัลยา ศิริพลวุฒิกุล กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท กาญจนพันธ์ ฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 5)
-นายอริยนัทธ์ รังษีเสริมสุข ตัวแทนไพรสะเดาฟาร์ม (จำเลยที่ 6)
-นางเสาวลักษณ์ เย็นใส ตัวแทนหนองลังกาฟาร์ม (จำเลยที่ 7)
-บริษัท กาญจนพันธ์ ฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 8)
-บริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 9)
-บริษัท ธารณ์ธนวัต จำกัด (จำเลยที่ 10)
-บริษัท กาญจนา เฟรช พอร์ค จำกัด (จำเลยที่ 11)
-นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา (จำเลยที่ 12)
-นายวิชิต ปาลวิสุทธิ์ (จำเลยที่ 13)
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 (มนัส สร้อยพลอย) สั่งการให้กำหนดคุณสมบัติผู้เสนอซื้อตามหนังสือเชิญชวนในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจของจำเลย 4 ถึงที่ 12 หรือไม่
ไต่สวนพยานโจทก์ปากนาง ว. เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุ พยานดำรงตำแหน่ง ผู้อำนานวยการสำนักบริหารการการค้าสินค้าทั่วไป มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบายมันสำปะหลัง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 ตั้งแต่การระบายครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 8
ในส่วนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 เบื้องต้นพยานทำหนังสือขออนุมัติต่อ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ และในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง ขออนุมัติให้ระบายมันสำปะหลัง ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์
ต่อมานางพรทิวา ลงลายมือชื่ออนุมัติ ซึ่งหมายความว่า อนุมัติให้จำหน่ายหรือระบายมันสำปะหลังเส้นครั้งนี้แก่ทุกกลุ่ม จึงเสนอร่างหนังสือเชิญชวนไปตามความเห็นชอบดังกล่าว เพื่อให้เสนอขายแก่ผู้ประกอบการทุกลุ่ม
แต่พยานจำเลยที่ 1 หรือนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จะเป็นผู้สั่งการด้วยวาจาให้กำหนดเสนอขายเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งร่างหนังสือเชิญชวนฉบับเดิม เข้าใจว่า น่าจะส่งให้จำเลยที่ 1 พิจารณาแล้ว จึงมีการส่งย้อนกลับมาให้ปรับแก้ โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อให้จำหน่ายหรือระบายเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์
แต่เมื่อดำเนินการปรับแก้แล้ว เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 น่าจะไม่พอใจ จึงให้เจ้าหน้าที่หน้าห้องมานำทรัมไดร์ฟ ไปดำเนินการปรับแก้ร่างหนังสือเชิญชวนดังกล่าวด้วยตัวเอง
ไต่สวนจำเลยที่ 1 (มนัส สร้อยพลอย ) เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.2553 และเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2555 จำเลยที่ 1 ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เมื่อวันที่11 พ.ค.2553
จำเลยที่ 1 ไม่มีประสบการณ์ในงานของกรมการค้าต่างประเทศ ต้องอาศัยการดำเนินงานในเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในแต่ละกอง สำนักและส่วนราชการอื่นของกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองอธิบดีผู้รับผิดชอบของส่วนราชการนั้นๆ เป็นผู้สั่งการและรับผิดชอบกลั่นกรองก่อน
ในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 เพื่อการใช้ภายในประเทศ นายบุณยฤทธิ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้รับผิดชอบงานของสำนักบริหารการค้าสินค้าทั่วไป โดยมีนาง ว. เป็นผู้อำนวยการสำนัก นาง ว. เสนอกรอบกำหนดวิธีการระบาย โดยการยื่นซองเสนอซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และร่างหนังสือเชิญชวนมาให้จำเลยที่ 1 พิจารณาลงนาม
จำเลยที่ 1 สอบถามนายบุณยฤทธิ์ ทราบว่า นางพรทิวา สั่งการมาให้ดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในครั้งนี้ เพื่อการใช้ภายในประเทศ และอยู่ภายใต้กรอบเฉพาะกิจการเลี้ยงสัตว์ไปก่อน เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะลดราคาอาหารสัตว์ลง และส่งเสริมให้มีการใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์มากยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมปริมาณการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
โดยนายบุณยฤทธิ์ สั่งการให้สำนักบริหารการค้าสินค้าทั่วไป เป็นผู้ร่างหนังสือเชิญชวนตามที่เคยปฏิบัติมา และเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรี
เห็นว่า นาง ว. พยานโจทก์ เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงในการเสนอร่างหนังสือเชิญชวน ตามสำเนาบันทึกข้อความกรมการค้าต่างประเทศ สำนักบริหารการค้าสินค้าทั่วไป เรื่อง การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เพื่อการใช้ภายในประเทศ ลงวันที่ 18 พ.ค.2553
และสำเนาหนังสือกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง การจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เพื่อการใช้ภายในประเทศ โดยวิธียื่นซองเสนอซื้อ ลงวันที่ 18 พ.ค.2553 (หนังสือเชิญชวน) ตามเอกสารหมาย จ.19 หน้าที่ 6,291 ถึง 6,299
นาง ว. เบิกความสอดคล้องตรงกับบันทึกข้อความที่จำเลยที่ 1 เสนอขอระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 เพื่อการใช้ภายในประเทศต่อนางพรทิวา รมว.พาณิชย์ และในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง ตามสำเนาบันทึกข้อความกรมการค้าต่างประเทศ สำนักบริหารการค้าสินค้าทั่วไป เรื่อง การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เพื่อการใช้ภายในประเทศ ลงวันที่ 17 พ.ค.2553
โดยจากหนังสืออบับดังกล่าว ที่นางพรทิวาลงลายมือชื่อเห็นชอบให้ดำเนินการระบายมันสำปะหลังเส้น เพื่อการใช้ภายในประเทศปริมาณ 250,251.26 ตัน เป็นการให้ความเห็นชอบในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2552
ไม่ได้กำหนดให้ระบายเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อการใช้ภายในประเทศ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องเนื้อสัตว์มีราคาแพงอันมาจากต้นทุนวัตถุดิบของอาหารสัตว์
นาง ว. ยืนยันว่า เสนอร่างหนังสือเชิญชวนกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อ ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ และกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ แต่จำเลยที่ 1 ดำเนินการปรับแก้ร่างหนังสือเชิญชวนดังกล่าวด้วยตนเอง
และเมื่อตามบันทึกข้อความที่จำเลยที่ 1 ลงนามเสนอขอเปิดระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 ต่อนางพรทิวา มีการระบุชัดแจ้งอยู่แล้วว่า เป็นการระบายตามกรอบยุทธศาสตร์ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2552
โดยการระบายภายในประเทศ เปิดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เช่น เอทานอล กรดชิติก และผงชูรส เป็นต้น รวมถึงฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ภายในประเทศ ซึ่งมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังประมาณ 500,000 ตัน
จำเลยที่ 1 ควรพิจารณาลงนามตามร่างหนังสือเชิญชวนที่กำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อ ไปตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายตามมติคณะรัฐมนตรีในทุกกลุ่ม ไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 1 ต้องไปสอบถามนายบุณยฤทธิ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ หรือดำเนินการปรับแก้ร่างหนังสือเชิญชวน เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์หรือความมุ่งหมายของตน
แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าเพิ่งย้ายมารับราชการในกรมการค้าต่างประเทศเป็นเวลาไม่นานเพียง 17 วัน ก่อนการดำเนินการเปิดระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อการใช้ภายในประเทศ ครั้งที่ 9 ในวันที่ 17 พ.ค.25553
แต่การเปลี่ยนแปลงกรอบยุทธศาสตร์การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ให้แตกต่างไปจากกรอบยุทธศาสตร์ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก มีผลกระทบต่อส่วนได้เสีย ทั้งทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของรัฐ ส่งผลกระทบต่อราคามันสำปะหลังในตลาด
การจะกระทำสำเร็จจะต้องมีการร่วมมือกันกระทำเป็นขบวนการ หากแต่การกระทำของจำเลยที่ 1 เพียงลำพังย่อมยากที่จะสำเร็จตามความมุ่งหมาย...
การที่จำเลยที่ 1 (มนัส สร้อยพลอย) มาดำรงตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศต่อจากนายวิจักษณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศคนก่อน ที่ลาออกจากราชการ ก่อนมีการยกเลิกการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 8 เพื่อการใช้ภายในประเทศ
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และภายในเวลาไม่นานต่อจากนั้น จึงมีการเปิดระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังครั้งที่ 9 เพื่อการใช้ภายในประเทศ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอซื้อไม่เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ตามมติคณะรัฐมนตรี
เหมือนเป็นการวางตัว เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข้ามาอยู่ในอำนาจและหน้าที่ในตำแหน่ง ที่สามารถเสนอขอเปิดระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และใช้วิธีการหลีกเลี่ยงไม่กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอซื้อ ให้ไม่เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์
อีกทั้งจำเลยที่ 1 รับราชการในกระทรวงพาณิชย์เป็นระยะเวลาถึง 39 ปี การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ไม่มีประสบการณ์ในงานของกรมการค้าต่างประเทศ จึงเป็นข้อที่ง่ายแก่การกล่าวอ้างเพื่อให้ตนเองพ้นผิด พยานหลักฐานของโจทก์ มีเหตุมีผลมีน้ำหนัก พยานจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งการให้ นาง ว. ผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าสินสินค้าทั่วไป กำหนดคุณสมบัติผู้เสนอซื้อ เฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ในร่างหนังสือเชิญชวน เป็นการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่มีเหตุผลความจำเป็นสนับสนุน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นการการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 หรือไม่จะได้วินิจฉัยต่อไป
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ในการเสนอราคาในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 มีผู้สนใจยื่นเสนอซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง 9 ราย แต่ขาดคุณสมบัติ 2 ราย คือ นาย ส. จังหวัดนครปฐม เนื่องจากไม่มีเอกสารที่แสดงว่าเป็นผู้ประกอบการปศุสัตว์ บริษัท พ. จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการผลิตเอทานอลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อที่ 3 ตามหนังสือตามหนังสือเชิญชวน
ส่วนผู้ประกอบการอีก 7 ราย ที่ยื่นเสนอซื้อผลิตลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้แก่ จำเลยที่ 8 จังหวัดราชบุรี บริษัท เมโทร อะโกรอินดัสทรี จำกัด จังหวัดนครปฐม สมิตรฟาร์ม จังหวัดกาญจนบุรี นครหลวงฟาร์ม จังหวัดนครปฐม บุญส่งฟาร์ม จังหวัดนครปฐม หนองลังกาฟาร์ม (จำเลยที่ 7) จังหวัดราชบุรี และไพรสะเดาฟาร์ม (จำเลยที่ 6) จังหวัดราชบุรี
สำหรับจำเลยที่ 8 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 13 เข้ายื่นประมูลเสนอซื้อมันสำปะหลังเส้นทุกคลังที่เปิดประมูลรวม 14 คลัง ตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดกำแพงเพชร จำเลยที่ 7 ยื่นประมูลในชื่อ ‘หนองลังกาฟาร์ม’ เสนอซื้อ 6 คลัง ในจังหวัดกำแพงเพชร และจำเลยที่ 6 ยื่นประมูลในชื่อ ‘ไพรสะเดาฟาร์ม’ เสนอซื้อทั้ง 14 คลัง ในจังหวัดกาญจนรีและจังหวัดกำแพงเพชรเช่นเดียวกับจำเลยที่ 8
ย่อมแสดงว่าในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ มีผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์รายอื่นนอกจากจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 เข้าเสนอราคา น่าเชื่อว่า ในการที่จำเลยที่ 1 กำหนดวันเวลาเสนอราคาที่กระชั้นชิด
คือ ออกหนังสือเชิญชวนในวันที่ 20 พ.ค.2553 กำหนดให้ผู้สนใจยื่นซองเสนอซื้อในวันที่ 24 พ.ค.2553 ช่วงเช้า เปิดซองเสนอซื้อในวันเดียวกันในช่วงบ่ายและเจรจาต่อรองราคาในวันที่ 25 พ.ค.2552 ตั้งแต่เวลา 10 นาฬิกา...
ไม่ได้เป็นการกีดกันผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์รายอื่น เพื่อไม่ให้สามารถเข้าแข่งขันราคาได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ในส่วนการกำหนดวันเวลาเสนอราคาที่กระชั้นชิด หรือการดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการเป็นผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 เพราะผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์รายอื่น ก็สามารถนำหนังสือรับรองการเป็นผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแสดงได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ การกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ เป็นการตัดโอกาสในการยื่นประมูลเสนอราคาของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ เช่น เอทานอล กรดซิติก สารความหวานและผงชูรส เป็นต้น ไม่ให้เข้าเสนอราคา
ซึ่งบริษัท พ. จังหวัดสมุทรปราการ และจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าเสนอราคาในครั้งนี้ เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อในหนังสือเชิญชวน
ทั้งที่จำเลยที่ 2 เคยเข้าเสนอซื้อในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 8 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เพื่อการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร โดยวิธียื่นซองเสนอซื้อ แต่คณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง มีมติให้ยกเลิกการระบายผลิตภัณฑ์มันสำเสาปะหลังครั้งที่ 8 และให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังดังกล่าวเป็นการทั่วไป เพื่อการใช้ภายไนประเทศและจำหน่ายแบบ G to G
การกำหนดกรอบการระบายดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ชอบด้วยมติคณะรัฐมนตรี ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุผลความจำเป็น ไม่ได้เสนอพิจารณาขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังและคณะรัฐมนตรี
การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกีดกันในการเข้าแข่งขันในการเสนอราคาของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ทำให้ไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาในการแข่งขันกับกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์
แม้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 อ้างทำนองว่า การเข้าแข่งขันราคาในการะบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในครั้งนี้ ทุกขั้นตอนล้วนผ่านการพิจารณาจาก รมว.พาณิชย์ และคณะรัฐมนตรีทั้งสิ้น และผ่านเกณฑ์ราคาเสนอซื้อได้ราคาสูงสุดตามกรอบราคาพื้นฐาน ตามนโยบายของ รมว.พาณิชย์และคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังมีผู้ประกอบการรายอื่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมายื่นแข่งขันในการเสนอราคา
แต่ในการที่จำเลยที่ 1 ขืนกระทำผิดกำหนดกรอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อ ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยกีดกันผู้เข้าเสนอราคารายอื่นไม่ให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม กรณีเป็นมูลความผิดทางอาญามีอัตราโทษอย่างสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต
หากไม่เป็นการที่จำเลยที่ 1 แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ก็ต้องเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น หรือในทั้งสองทาง มิฉะนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมไม่เสี่ยงที่จะกระทำความผิดเป็นแน่
@ประมูลซื้อ‘มันเส้น’แล้วนำไปขายต่อ กิน‘ส่วนต่าง’
ภายหลังที่จำเลยที่ 1 (มนัส สร้อยพลอย) กำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อในการระบายครั้งที่ 9 เฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ มีผู้เข้าร่วมเสนอราคาที่มีคุณสมบัติตามหนังสือเชิญชวน 7 ราย รวมทั้งจำเลยที่ 7 ถึงที่ 8 ด้วย แล้วจำเลยที่ 1 เสนอรายงานผลการเจรจาต่อรองราคาไปตามลำดับ
จนถึงขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ซึ่งมีมติเห็นชอบให้ขายมันสำปะหลังเส้นให้ผู้เสนอซื้อทั้ง 3 ราย (จำเลยที่ 8 จำเลยที่ 6 เข้ายื่นประมูลราคาในชื่อ ไพรสะเดาฟาร์ม และจำเลยที่ 7 เข้ายื่นประมูลราคาในชื่อหนองลังกาฟาร์ม) ใน 14 คลังสินค้า ปริมาณ 250,251.26 ตัน ราคา 5,264 ถึง 5,862 บาทต่อตัน ราคาเฉลี่ย 5,650.08 บาทต่อต้น มูลค่ารวม 1,413.94 ล้านบาท
จากนั้นจึงเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2563 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่ผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เฉพาะในส่วนของการจำหน่ายให้แก่จำเลยที่ 8 ปริมาณ 175,989.92 ตัน มูลค่ารวม 1,023,002,061.04 บาท
ส่วนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เหลือ ให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังรับไปดำเนินการเจรจาต่อรองราคากับผู้เสนอซื้ออีกครั้งหนึ่ง…หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จำหน่ายจำนวนดังกล่าวทั้งหมด ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง มันสำปะหลังเส้นทั้ง 250,251.26 ตัน ย่อมตกเป็นสิทธิตามสัญญาซื้อขายแก่จำเลยที่ 6 ถึงที่ 8
และแม้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำมันสำปะหลัง ที่ผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เฉพาะในส่วนของการจำหน่ายให้แก่จำเลยที่ 8 ปริมาณ 175,989.92 ตัน มูลค่ารวม 1,023,002,061.04 บาท และจำเลยที่ 8 เข้าทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า ได้ชำระค่ามันสำปะหลังเส้นและรับมันสำปะหลังเส้นจำนวนดังกล่าวไปแล้ว
แต่ตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ดังกล่าวข้างต้น ในเรื่องการมีบุคคลภายนอกเข้าชำระค่ามันสำปะหลังเส้น และรับมันสำปะหลังเส้นออกจากคลังสินค้า
ประกอบกับตามรายงานและสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการแสวงหาความจริง
ปรากฏว่า มันสำปะหลังเส้นที่จำเลยที่ 8 ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การคลังสินค้า ตามสำเนาสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังเส้นและสำเนาใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.10 มีการนำไปจำหน่ายต่อให้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับองค์การคลังสินค้า และไม่ได้เป็นสมาชิกหรือเครือบริษัทของกาญจนากรุ๊ป จำกัด อันพอจะถือว่าเป็นการใช้วัตถุดิบภายในกลุ่มสมาชิกตามเงื่อนไขในหนังสือเชิญชวน
จึงเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการเข้าเสนอซื้อที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด ให้ผู้เสนอซื้อจะต้องนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบกิจการของตนเอง/ภายในกลุ่มสมาชิก ห้ามมิให้นำไปจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อราคามันสำปะหลังภายในประเทศ
แม้ตามสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังเส้นกับองค์การคลังสินค้า จะไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว แต่ก็ต้องถือว่าเงื่อนไขในหนังสือเชิญชวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย มันสำปะหลังเส้น ที่ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและรายละเอียด ในการเข้าเสนอราคากับกรมการค้าต่างประเทศและเข้าทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า
โดยในส่วนคลังสินค้าโกดังไทยเรือง จังหวัดกาญจนบุรี มีมันสำปะหลังเก็บอยู่ในคลังปริมาณ 30,893.61 ตัน ราคากิโลกรัมละ 5.862 บาท มูลค่ารวม 181,098,341.82 บาท
บริษัทไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสำนักสวนมะลิ ซื้อแคชเชียร์เช็คเลขที่ 4225103 มูลค่า 75,582,341.82 บาท สั่งจ่ายองค์การคลังสินค้าเป็นค่ามันสำปะหลังและได้รับเป็นใบส่งสินค้าเลขที่ 171196 ตามสำเนาใบส่งสินค้าเอกสารหมาย จ.10
โดยในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 มีความประสงค์จะใช้มันลำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์ จึงติดต่อกับ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา (จำเลยที่ 12) โดยจำเลยจำเลยที่ 12 ให้ผู้ช่วยของตนประสานงานต่อไปยังบริษัท ธารณ์ธนวัฒน์ จำกัด (จำเลยที่ 10)
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 ทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังเส้นกับจำเลยที่ 10 ปริมาณ 30,893,610 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 6.40 บาท ตามหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 และสำเนาสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังเส้นเอกสารหมาย จ.77
คลังสินค้าลานมันไพศาลพืชผล จังหวัดกาญจนบุรี มีมันสำปะหลังเก็บอยู่ในคลังปริมาณ 20,700 ตัน ราคากิโลกรัมละ 5.862 บาท มูลค่ารวม 121,343,400 บาท บริษัทแป้งมันเอเชียบูรพา จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 55 และบริษัทแสงทรัพย์บูรพา จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 25 โอนเงินจากบัญชีเงินฝากเข้าบัญชีขององค์การคลังสินค้าเพื่อชำระเป็นเงินค่ามันสำปะหลัง ในเดือน ส.ค.ถึงเดือน ก.ย.2553
โดยในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกล่าวหาที่ 25 ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ในช่วงต้นเดือน ก.ค.2553 จำเลยที่ 13 ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 8 มาติดต่อขายมันสำปะหลังเส้น แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 55 ยังไม่รับซื้อ
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 มาติดต่อกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 55 เพื่อหาซื้อมันสำปะหลังบดจำนวนมาก จึงมีการติดต่อหาซื้อมันสำปะหลังตามลานมันต่างๆ ในพื้นที่ จากนั้นจำเลยที่ 13 ติดต่อกลับมาเพื่อจะขายมันสำปะหลังให้
และเพื่อให้การรับซื้อมันสำปะหลังเส้นได้รับประโยชน์ทางภาษี กรรมการผู้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 55 จึงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 25 เพื่อรับซื้อมันสำปะหลังเส้นจากจำเลยที่ 13 โดยตกลงซื้อมันสำปะหลังเส้นปริมาณ 10,000 ตัน ราคาตันละ 6,300 บาท รวมเป็นเงิน 63,000,000 บาท
คลังสินค้าไขยฤกษ์ จันทร์วัฒน์ศิริ และคลังสินค้านายภาณุพันธ์ (หลัง 3) จังหวัดกาญจนบุรี มีมันสำปะหลังเก็บอยู่ในคลัง ปริมาณรวม 57,851.31 ตัน ราคากิโลกรัมละ 5.862 บาท มูลค่ารวม 339,124,379.22 บาท จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระค่ามันสำมันสำปะหลังทั้งหมดให้แก่องค์การคลังสินค้า ในราคาตันละ 6,100 บาท โดยจำเลยที่ 12 เป็นผู้มาติดต่อจำเลยที่ 3
และคลังสินค้าห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติสงวน (2003) (หลัง 10) คลังสินค้าห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติสงวน (2003) (หลัง 14) และคลังสินค้าห้างหุ้นส่วนจำกัด สิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชัน (หลัง 7/1) จังหวัดกำแพงเพชร มีมันสำปะหลังเก็บอยู่ในคลังทั้งหมดปริมาณรวม 66,500 ตัน ราคากิโลกรัมละ 5.732 บาท มูลค่ารวม 380,435,940 บาท
มีการชำระเงินค่ามันสำปะหลัง โดยการโอนเงินและการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คแก่องค์การคลังสินค้า โดยบริษัท ที พี เค เพลเล็ท จำกัด บริษัท ไทยยุโรปฟีด จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 31 บริษัท ที เอช แค็ปปิตอล จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 36 และบริษัท นครหลวง อินฟินนิทิ เกรน จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 42
โดยในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 42 ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ประมาณเดือน ก.ค.2553 จำเลยที่ 8 ติดต่อมายังผู้ถูกกล่าวหาที่ 42 ว่า มีมันสำปะหลังเส้นต้องการขายปริมาณ 66,500 ตัน ราคา 5.90 บาทต่อกิโลกรัม ภายหลังมีการต่อรองราคาแล้ว จำเลยที่ 8 ตกลงขายมันสำปะหลังเส้นในในราคากิโลกรัมละ 5.7332 บาท แล้วผู้ถูกล่าวหาที่ 42 นำไปขายต่อให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 31 และที่ 36
จำเลยที่ 4 และที่ 12 นำสืบเจือสมรับอยู่ว่า จำเลยที่ 8 มีความจำเป็น จะต้องนำมันสำปะหลังเส้นดังกล่าวไปขายต่อบุคคลภายนอก เพราะหลังจากทำสัญญาเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2553 และมีการชำระเงินและเบิกสินค้าบางส่วนตามสัญญา พบว่ามันสำปะหลังเส้นที่อยู่ใต้กองมีเชื้อราและเสื่อมคุณภาพ ไม่สามารถนำไปใช้ทำเป็นวัตวัตถุดิบของอาหารสัตว์ได้
แต่จำเลยที่ 4 และที่ 12 ก็ไม่ได้โต้แย้งโดยชัดแจ้งถึงราคาที่นำมันสำปะหลังเส้นไปจำหน่ายต่อแก่จำเลยที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหารายอื่นๆ ตามที่จำเลยที่ 2 และผู้ถูกล่าวหาได้ชี้แจงข้อเท็จจจริงพร้อมยื่นหลักฐาน ต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนถึงราคาที่ซื้อต่อมันสำปะหลังเส้นและโจทก์อ้างส่งเป็นพยานเอกสาร
ข้อเท็จริงจึงจึงต้องรับฟังว่า จำเลยที่ 8 นำมันสำปะหลังเส้นตามสัญญาซื้อขาย ไปขายต่อให้บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 ปริมาณ 30,893,610 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 6.40 บาท มูลค่า 75,582,341.82 บาท
และขายต่อให้บริษัท แสงทรัพย์บูรพา จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 25 กับบริษัท แป้งมันเอเชียบูรพา จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 55 ปริมาณ 10,000 ตัน ราคาตันละ 6,300 บาท รวมเป็นเงิน 63,000,000 บาท ขายต่อจำเลยที่ 2 ปริมาณ 57,851,31 ตันในราคาตันละ 6,100 บาท และขายต่อบริษัท นครหลวง อินฟินนิทิ เกรน จำกัด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 42 ปริมาณ 66,500 ตัน กิโลกรัมละ 5.732 บาท
รวมแล้วปริมาณมันสำปะหลังเส้นตามสัญญาซื้ออขายที่จำเลยที่ 8 นำไปจำหน่ายต่อประมาณ 165,244,92 ตัน จากจำนวน 175,989.92 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณส่วนใหญ่ของมันสำปะหลังเส้นทั้งหมดที่จำเลยที่ 8 ประมูลซื้อได้ และขายต่อในราคาที่สูงกว่าราคาที่จำเลยที่ 8 ประมูลซื้อมา
จึงไม่น่าเชื่อว่าเหตุที่ต้องนำมันสำปะหลังเส้นไปจำหน่ายต่อ เพราะมีการเสื่อมคุณภาพ ไม่เหมาะนำมาใช้ทำเป็นวัตถุดิบของอาหารสัตว์ เพราะหากมีการเสื่อมคุณภาพของมันสำปะหลังเส้นที่ประมูลซื้อมาจริง ย่อมขายไม่ไม่ได้ราคาดีไปกว่าราคาที่จำเลยที่ 8 ประมูลมาได้
แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เป็นการนำมันสำปะหลังเส้นที่ประมูลได้มา ไปจำหน่ายต่อในช่วงระยะเวลาต่อเนื่องกับที่จำเลยที่ 8 ทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังหลังเส้นจากองค์การคลังสินค้า จึงเป็นการเข้าประมูลเสนอราคา โดยมุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากส่วนต่างของราคามาแต่แรก
นอกจากนี้ หากพิจารณาเหตุผลในการยกเลิกการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 8 เนื่องจากปัจจุบันราคาตลาดเคลื่อนไหวสูงกว่าราคาที่เจรจาต่อรองได้ ตามสำเนาสรุปผลการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง ครั้งที่ 2/2553 (ครั้งที่ 11) วันที่ 11 พ.ค.2553
น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4 (บุญยิ่ง นิติกาญจนา) ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และจำเลยที่ 12 (วิวัฒน์ นิติกาญจนา) ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของเครือกาญจนากรุ๊ปจำกัดเอง ก็เล็งเห็นถึงความต้องการของตลาดในการใช้มันสำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบ และราคามันสำปะหลังเส้นในท้องตลาดมีแนวโน้มราคาสูงกว่าเกณฑ์ราคาพื้นฐานที่จะเจรจาต่อรองได้ จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคา
พฤติการณ์แห่งคดีดังนี้บ่งชี้และทำให้ข้อเท็จจริงรับฟังต่อไปได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 สั่งการให้กำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อ เฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ลงในหนังสือเชิญชวน เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 มีสิทธิเข้าทำสัญญากับองค์การคลังสินค้าเพื่อรับมันสำปะหลังเส้นในคลังไปทั้งหมด
โดยกลุ่มของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ต้องการซื้อมันสำปะหลังเส้น จากการระบายตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เพื่อประสงค์นำไปจำหน่ายต่อมุ่งหวังประโยชน์ส่วนต่างของราคามาแต่แรก
ลำพังแต่การที่ฝ่ายจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 จะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อกัน ยังไม่มีเหตุผลหรือน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์
ในส่วนการนำมันสำปะหลังเส้นไปจำหน่ายต่อแก่บุคคลภายนอก หากจะมองว่าเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งอีกส่วนหนึ่ง คู่ความก็ชอบจะไปว่ากล่าวกันเองต่อไป
ไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดีนี้ ที่จะต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นการกระทำความผิดหรือสนับสนุนการกระทำความผิด โดยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต เพื่อมุ่งหมายมิให้มีให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดมีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ หรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคา
โดยจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 มีความประสงค์แต่แรกที่จะนำ มันสำปะหลังเส้นที่ประมูลได้ไปจำหน่ายต่อเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคา
เหล่านี้เป็นพฤติการณ์และคำวินิจฉัยในคดีประมูลมันเส้นฯ ซึ่งมีการแก้ไข ‘ทีโออาร์’ ในลักษณะที่เป็นการ 'กีดกันการแข่งขัน' และเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจของ ‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย-พวก’ ในการเข้าร่วมประมูลมันเส้นฯ ก่อนที่เครือ ‘กาญจนากรุ๊ป’ จะนำ ‘มันเส้นฯ’ ที่ประมูลได้เกือบทั้งหมดไปจำหน่าย เพื่อได้รับประโยชน์จาก ‘ส่วนต่างราคา’!
อ่านประกอบ :
- ไขคำพิพากษาคดีมันฯ ศาลสั่ง4 หน่วยงานรัฐฟ้องแพ่ง สส.บุญยิ่ง-นายกฯตุ้ย-พวก ชดใช้ 2 พันล.
- ศาลพิพากษาคดีมันฯ สั่งจำคุก 'นายกฯตุ้ย- สส.บุญยิ่ง'คนละ 6 ปี 8 ด. - 'มนัส' โดน 10 ปี
- จริงหรือ? 'กำนันตุ้ย-บุญยิ่ง'โดนชี้มูลคู่ 'ผัว-เมีย' ถูกยื่นฟ้องคดีมันฯ-เจ้าตัวให้ไปถามศาล
- เบื้องลึก! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริตระบายมันฯ 'บุญยิ่ง' สส.พปชร.โดนด้วย -ลูกสาวรอด
- ไขคำตอบ ‘บุญยิ่ง-วิวัฒน์ ’ต้องพ้นเก้าอี้ สส.-นายก อบจ.หรือไม่ หลังศาลตัดสินจำคุกคดีมันฯ
- 'บุญยิ่ง' โดนอีกคดี! ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ - ช่วงเป็นที่ปรึกษา รมว.พณ.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา