
“…และผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็มิได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดในกรณีร่วมทุจริตดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 ราย โดยตรง จึงสมควรกําหนดให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 5 ของความเสียหาย หลังจากหักส่วนความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวมออกแล้ว....”
....................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด โดย ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด’ ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อผ163-166/2564 หมายเลขแดง อผ.160-163/2568 พิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 10,028.86 ล้านบาท
เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการฯ จนทำให้เกิดการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’)
ในคำพิพากษาคดีนี้ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ‘เสียงข้างน้อย’ 6 ราย จากประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่มีทั้งหมดประมาณ 40 ราย ได้ทำ ‘ความเห็นแย้ง’ ในคดีดังกล่าว (คดีหมายเลขดำที่ อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568) แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ความเห็นแย้ง รายนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ในศาลปกครองสูงสุด กลุ่มที่ 2 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายมานิตย์ วงศ์เสรี ประธานแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
กลุ่มที่ 3 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 ความเห็นแย้ง รายนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ในตอนที่สามนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียด ‘ความเห็นแย้ง’ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ในคดี อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 กลุ่มที่ 3 ราย นายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ราย นายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น ในศาลปกครองสูงสุด และราย นายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ดังนี้
@นำ‘ค่าเสียหาย’ในคดีอาญา มาสั่งให้ชดใช้ฯ‘ไม่ถูกต้อง’
ในส่วนของค่าเสียหายตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมากได้มีมติของที่ประชุมใหญ่ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.93 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
โดยผลแห่งคําพิพากษานี้ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นว่า หากจะกําหนดให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเฉพาะส่วน กรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มิได้ติดตามดูแล หรือตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวตามสัญญาซื้อขาย กรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) อย่างใกล้ชิด รวมทั้งสิ้น 4 สัญญานั้น
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก จึงมีความเห็นแย้งดังต่อไปนี้
1.ประเด็นจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 ความเสียหายจากราคาขายตามสัญญา โดยนำมูลค่าข้าวที่ตกลงขายตามสัญญามาเปรียบเทียบกับมูลค่าข้าว หลังหักค่าเสื่อมสภาพข้าว ณ วันทำสัญญาของสัญญาทั้ง 4 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,014,284,113.61 บาท
และกรณีที่ 2 ความเสียหายจากการชําระราคาข้าวตามสัญญาน้อยกว่ามูลค่าข้าวที่มีการรับมอบจริง โดยพิจารณาจากมูลค่าที่มีการชําระราคาตามปริมาณข้าวที่รับมอบจริง นำมาหักออกจากมูลค่าที่ต้องชําระตามปริมาณข้าวที่รับมอบแต่ละชนิดคูณด้วย ราคาของแต่ละชนิดข้าวที่ตกลงขายตามสัญญา รวม 4 ฉบับ เป็นเงิน 43,439,648.50 บาท รวมทั้ง 2 กรณีเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท นั้น
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ฝ่ายเสียงข้างน้อยมีความเห็นแย้งในประเด็นนี้ว่า ค่าเสียหายในกรณีที่ 2 จำนวน 43,439,648.50 บาทนั้น เกิดจากการชําระราคาข้าวตามสัญญาทั้ง 4 สัญญา น้อยกว่ามูลค่าข้าวที่มีการรับมอบจริง ซึ่งค่าเสียหายดังกล่าวเกิดจากคู่สัญญาชําระราคาข้าวไม่ครบถ้วน
มูลค่าข้าวที่ชอบที่จะเรียกเอากับคู่สัญญาได้ จึงไม่อาจคํานวณเงินที่ได้รับไม่ครบถ้วนตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ มาคํานวณรวมเป็นค่าเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ได้ ดังนั้น จึงฟังได้ว่า มีความเสียหายเพียงกรณีที่ 1 จำนวน 20,014,284,113.61 บาท เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการนำจำนวนค่าเสียหายที่รับฟังจากคําพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายเลขแดงที่ อม.178/2560 และ อม.179/2560 จำนวน 20,057,723,761.66 บาท มารับฟังว่าเป็นค่าเสียหายที่เกิดจากกระบวนการทุจริตในกรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น
เห็นว่า การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น จะต้องเป็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน ซึ่งค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวในคดีอาญานั้น คํานวณจากโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 4 โครงการ คือ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ข้าวเปลือก นาปรัง ปีการผลิต 2555 ข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57
แต่ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเฉพาะปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 เท่านั้น การนําค่าเสียหายในคดีอาญาดังกล่าวมารับฟังจึงไม่ถูกต้อง
@หน่วยงานรัฐ‘บกพร่อง’ ต้องหักลบความรับผิดฯ 50%
2.ประเด็นการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ หรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกด้วย ซึ่งตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก มีมติไม่ให้หักความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานโดยส่วนรวมออก นั้น
ขอทำความเห็นแย้งในประเด็นนี้ ว่า โดยที่ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ได้แถลงนโยบายรับจำนำข้าวต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2554 ซึ่งนโยบายดังกล่าวถือเป็นนโยบายสาธารณะ โดยมีวัตถุประสงค์ของการดาเนินโครงการจำนำข้าวที่มีจุดหมายเน้นไปยังกลุ่มเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือส่งเสริมให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการอย่างเต็มที่ มิให้เป็นกรณีที่มุ่งแสวงหากําไร จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเป็นหลัก
และหากผลการนําเนินการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. มีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 153/2554 ลงวันที่ 8 ก.ย.2554 โดยมีองค์ประกอบของ กขช. ประกอบไปด้วยข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ประเภทอื่นๆ ในการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายจำนำข้าวเปลือก
ดังนั้น กขช. ทั้งคณะ ย่อมมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อให้การปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวบรรลุผล ลำพังแต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพียงผู้เดียวย่อมไม่อาจดูแลหรือสั่งการเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาต้นเหตุแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นของโครงการรับจำนำข้าวในขั้นตอนการระบายข้าว มาจากการที่เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทำการทุจริต โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของตน มิใช่เกิดจาก มติของ กขช. หรือมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1
อีกทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันทุจริตหรือได้มีผลประโยชน์โดยตรง หรือจากการกระทำทุจริตดังกล่าวแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะประธาน กขช. มิได้รับรายงานกรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ตลอดจนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว แต่เมื่อได้รับทราบจากการอภิปราย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปแล้ว และได้รับรายงานว่าไม่พบการทุจริต
อีกทั้งคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 178/2560, อม.179/2560 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายภูมิ สาระผล จําเลยที่ 1 กับพวก รวม 21 ราย ซึ่งได้โฆษณา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอนที่ 117 ก วันที่ 10 พ.ย.2560 ได้วินิจฉัยว่า
การที่คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว สามารถขายข้าวให้บริษัท กว่างตงฯ จำนวนมากถึง 4.195 ล้านตัน ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ถือเป็นผลงานอันโดดเด่นและสำคัญ มีผลต่อความสำเร็จของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบรายงานให้ที่ประชุม กขช. ทราบ ในโอกาสแรก เพื่อประโยชน์ในการวางแผนดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
อีกทั้งการรายงานผลการระบายข้าวให้ กขช. ทราบ ยังเป็นหน้าที่ตามที่ระบุในคำสั่งแต่งตั้งด้วย หากจําเลยที่ 1 ไม่มีเรื่องแอบแฝงซ่อนเร้นก็ต้องรายงานให้ที่ประชุม กขช. ทราบถึงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัท กว่างตงฯ อย่างแน่แท้ การที่จําเลยที่ 1 ไม่รายงานให้ที่ประชุม กขช. ทราบ นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง
เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่เคยได้รับรายงานกรณีที่มีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ในขั้นตอนต่างๆ จึงเป็นความบกพร่องของระบบการบริหารงาน
กรณีจึงถือว่าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ หรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม จึงสมควรหักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกจากค่าเสียหาย ในอัตราร้อยละ 50 ตามมาตรา 8 วรรคสาม เป็นเงินจำนวน 10,007,142,056.58 บาท คงเหลือค่าเสียหายที่จะต้องรับผิดจำนวน 10,007,142,056.58 บาท
@ชี้‘ยิ่งลักษณ์’ควรชดใช้ค่าเสียหาย 500 ล้านบาท
3.ประเด็นเรื่องสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมากมีมติว่า เมื่อได้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว
ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะหักส่วนแห่งความรับผิดในกรณีดังกล่าว โดยตุลาการเสียงข้างมากของที่ประชุมใหญ่ในศาลปกครองสูงสุดมีมติว่า ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ทำให้เจ้าหน้าที่และเอกชนที่เกี่ยวข้องมีโอกาสแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
โดยมีการขายข้าวที่รัฐรับจำนํามาจากเกษตรกรตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกให้แก่เอกชนในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศและเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินเป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง
เมื่อพิจารณามติที่ประชุมใหญ่ฝ่ายเสียงข้างมากกำหนดสัดส่วนความรับผิดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าว จำนวน 20,057,723,761.66 บาท คิดเป็นเงินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดจำนวน 10,028,861,880.83 บาท
ในขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (รมว.คลัง) ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กําหนดให้ผู้ฟ้องคดี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนการกระทำของตน ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ตามนัยมาตรา 10 ประกอบ มาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
แม้ยอดความเสียหายที่ตุลาการเสียงข้างมากเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ต้องรับผิด จะมีแต่เฉพาะความเสียหายอันจะเกิดจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ก็ตาม
แต่หลักคิดในการพิจารณาให้เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่หน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ของหน่วยงานของรัฐกับของศาลต่างก็ใช้บทบัญญัติกฎหมายเดียวกัน ดังนั้น จึงกลายเป็นว่ามติที่ประชุมใหญ่ฝ่ายตุลาการเสียงข้างมาก เห็นว่าระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดสูงกว่าหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้ได้รับความเสียหายเองเสียอีก ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
อีกทั้ง คำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ทั้ง 4 ฉบับ
คือ นายภูมิ สาระผล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ นายมนัส สร้อยพลอย นายทิฆัมพร นาทวรทัต นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือ ทีปวัชระ ทั้ง 6 ราย รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนความเสียหาย โดยให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 รายดังกล่าว รับผิดในอัตราส่วนคนละเท่าๆ กันในอัตราร้อยละ 20 ของค่าเสียหายในสัญญาแต่ละฉบับ
โดยที่ศาลฎีกาได้มีคําพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดง ที่ อม.อธ. 2-3/2562 ว่า จําเลยที่ 1- จําเลยที่ 6 (เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 รายดังกล่าว ตามลำดับ) เป็นผู้ทุจริตเกี่ยวข้องทุกกระบวนการเกี่ยวกับการนำข้าวของรัฐไป...แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มิได้เป็นผู้ทุจริตในโครงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ทั้ง 4 ฉบับ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ตุลาการเสียงข้างมากกลับมีมติกําหนดให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ซึ่งสูงกว่าอัตราร้อยละ 20 ที่หน่วยงานมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ทุจริตต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
และในคําพิพากษาศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ. 3/2563 ได้มีคําพิพากษาให้เอกชนซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องในการรับซื้อข้าว และสนับสนุนในโครงการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ต้องรับผิดร้อยละ 100 เต็มจำนวนความเสียหายที่รัฐได้รับ
ตุลาการเสียงข้างน้อยขอทำความเห็นแย้งในประเด็นนี้ว่า เมื่อเหตุแห่งความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทำทุจริตโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้ หาใช่เกิดจากมติของ กขช. หรือมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 แต่อย่างใด
ทั้งผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) มิได้เป็นหัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บังคับบัญชาโดยตรงในกรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มีฐานะเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีและประธาน กบข. และผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็มิได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดในกรณีร่วมทุจริตดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ทั้ง 6 ราย โดยตรง
จึงสมควรกําหนดให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 5 ของความเสียหาย หลังจากหักส่วนความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวมออกแล้ว จากกระบวนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าว จำนวน 10,007,142,056.58 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 500,357,102.83 บาท
ดังนั้น คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 500,357,102.83 บาท จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@ต้องนำ‘ค่าเสียหาย’ที่ชดใช้ไปแล้ว มาหักส่วนที่ต้องรับผิดฯ
4.ประเด็นการตั้งข้อสังเกตในคําพิพากษาว่า หากผู้ทุจริตได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กระทรวงพาณิชย์และผู้ร้องทั้งหกเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว สมควรที่จะต้องนําค่าเสียหายที่ผู้ทุจริตชดใช้แล้วดังกล่าว หักออกจากส่วนความรับผิดที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องพึงชําระในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมากมีมติว่า ไม่สมควรกำหนดคําบังคับหรือข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคําพิพากษา นั้น
ขอทำความเห็นแย้งในประเด็นนี้ว่า เมื่อพิจารณาคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 ก.ย.2559 เรียกให้บุคคลดังกล่าวรวมหกคน รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมเป็นเงินจำนวน 20,057,723,761.66 บาท
โดยค่าเสียหายดังกล่าว เป็นจำนวนเดียวกันกับค่าเสียหายตามคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายเลขแดงที่ อม.178/2560 ,อม.179/2560 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายภูมิ สาระผล กับพวกรวม 28 คน เป็นจําเลย
และกรมการค้าต่างประเทศ องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ยื่นคําร้องขอให้ศาลบังคับจําเลยที่เป็นเอกชนร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งห้า ที่ได้รับความเสียหายจากสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) รวม 4 สัญญา เป็นจำนวน 20,057,723,761.66 บาท ซึ่งกําหนดให้ชดใช้ครบถ้วนตามจำนวนที่อ้างความเสียหายแล้ว
เมื่อพิจารณาแนวทางหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0406.2/ว.66 ลงวันที่ 25 ก.ย.2550 เรื่อง แนวทางการกำหนดสัดส่วนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ที่ได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้ทุจริตในกรณีนี้ต้องรับผิดเต็มจำนวนความเสียหาย (อัตราร้อยละ 100)
ดังนั้น หากผู้ทุจริตได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กระทรวงพาณิชย์และผู้ร้องทั้งหก เป็นจำนวนเท่าใดแล้ว ก็สมควรที่จักต้องนําค่าเสียหายที่ผู้ทุจริตชดใช้แล้วดังกล่าว หักออกจากส่วนรับผิดที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะต้องพึงชําระในฐานะผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิด
จึงสมควรมีข้อสังเกตในเรื่องดังกล่าวนี้ไว้ในคําพิพากษาด้วยเหมือนคดีอื่นๆ เช่น คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.175/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.585/2555 เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดความ ‘เห็นแย้ง’ ในคดีชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีการทุจริตระบาย ‘ข้าวจีทูจี’ 4 สัญญา ซึ่ง ‘ตุลาการเสียงข้างน้อย’ มีความเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควรชดใช้ค่าเสียหาย 500 ล้านบาท และต้องนำค่าเสียหายในส่วนที่ ‘ผู้กระทำทุจริต’ ระบายข้าวจีทูจี ทั้ง 6 ราย ได้ชดใช้ฯไปแล้ว มาหักลบออกจากส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ฯด้วย!
อ่านเพิ่มเติม :
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(2) นายกฯ'รับผิดชอบทุกเรื่อง' อาจเป็นปัญหาบริหารราชการ
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(1) ทุจริต'จีทูจี'เกิดจาก'จนท.'-'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้ 20%
ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’
ไขเหตุผล ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปค.สูงสุด’ พิพากษา ยิ่งลักษณ์ ชดใช้จำนำข้าว 10,028 ล.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยุติธรรมแล้วหรือ? บทสรุปที่เจ็บปวดที่สุด
‘ศาลปค.สูงสุด’นัดตัดสินคดี‘ยิ่งลักษณ์’ฟ้องเพิกถอนคำสั่งชดใช้‘จำนำข้าว’3.5 หมื่นล.22 พ.ค.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา