ในขณะที่นายเสอดำเนินกิจกรรมอาชญากรรม เขาก็เริ่มจะสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกควบคู่กันไปด้วย ในปี 2560 นายเสอปรากฎตัวในงานสัมมนาการประชุมธุรกิจจีนโลกหรือ World Chinese Business Conference ซึ่งจัดขึ้นในเมืองมา โดยปรากฎตัวในฐานะนักธุรกิจผู้ทำการกุศล และในช่วงเวลานี้เองเขาก็ได้จัดตั้งบริษัทชื่อว่าYatai International Holdings Group (亚太国际控股集团) หรือ Yatai IHG ในฮ่องกง บริษัทไม่มีสำนักงานในฮ่องกง แต่กลับมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทย
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่สร้างความตกตะลึงให้กับกรมราชทัณฑ์ก็คือกรณีที่นายเสอจื้อเจียง ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันชาวจีนซึ่งถูกจับในประเทศไทยเมื่อเดือน ส.ค. 2565 ออกคลิปยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองจากในเรือนจำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการละเมิดระเบียบการเยี่ยมนักโทษของกรมราชทัณฑ์ ทำให้ทางกรมราชทัณฑ์ต้องรีบออกแถลงการณ์ว่าจะดำเนินการตรวจสอบทันที
คำถามสำคัญตอนนี้คือใครคือนายเสอจื้อเจียงกันแน่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้ไปสืบค้นประวัติของนายเสอจื้อเจียง จากเว็บไซต์ในประเทศจีนเพื่อมานำเสนอรายละเอียดดังนี้
นายเสอจื้อเจียงเกิดที่มณฑลหูหนาน ค.ศ. 1982 ในครอบครัวที่ฐานะไม่ดี ส่งผลทำให้ตั้งแต่เด็ก เขาเชื่อว่าเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก และเขาต้องการก้าวไปข้างหน้าในเรื่องการหาเงิน นายเสอจึงได้เข้าสู่สังคมการทำงานอย่างรวดเร็วและทำงานหนักหลายอย่าง อาทิ เป็นเชฟ คนล้างรถ คนขับรถเครื่องจักรการเกษตร เคยซ่อมยานยนต์ เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ทำงานขาย และอาชีพอื่นๆโดยหวังว่าจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การที่นายเสอได้ทำงานทำให้เขารู้ทักษะการสื่อสาร ไหวพริบ และรู้วิธีการใช้ปัจจัย ทรัพยากรต่างๆเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง
ในช่วงหลัง ค.ศ.1990 นายเสอพยายามหาโอกาสจากการพัฒนาอินเทอร์เน็ต ด้วยการเปิดสตูดิโอเกมทำให้เขาสามารถหาเงินได้ แต่เขาก็ยังไม่พอใจ
ในตอนนั้นเขาได้ยินข่าวว่ามีใครบางคนสามารถหาเงินได้จำนวนมากในประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียน นี่ทำให้เขารู้สึกสนใจมาก จึงได้ติดสินใจลองทำดูบ้าง
นายเสอจื้อเจียงจึงได้บินไปยังประเทศฟิลิปปินส์ด้วยเงินเก็บจำนวน 40,000 หยวน และสามารถหาทรัพย์ก้อนแรกได้ที่นั่น โดยเขาสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าแก๊ง ตามมาด้วยการเปิดแพลตฟอร์มลอตเตอรีส่วนตัวและเว็บไซต์การพนันออนไลน์ ต่อมาเขาก็ได้เริ่มการขายลอตเตอรี่ออนไลน์โดยผิดกฎหมายให้กับคนจีน และร่วมในกิจกรรมการพนันออนไลน์
นี่ส่งผลทำให้นายเสอได้รับความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว และสามารถทำเงินได้มากกว่าร้อยเท่าของเงิน 40,000 หยวนที่เขานำมาที่ฟิลิปปินส์ในตอนแรก
เมื่อเวลาผ่านไปนายเสอค่อยๆประสบความสำเร็จจากการคลุกคลีในโลกมืด โดยเขาได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางโทรศัพท์ เพราะว่าเมื่อเทียบกับการค้ายาเสพติดแล้ว การฉ้อโกงโทรศัพท์มีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่มีผลกำไรมาก ซึ่งเป้าหมายแรกๆของนายเฉอก็คือประเทศจีนที่มีประชากรจำนวนมาก
ในปี 2557 มีการเปิดโปงพฤติกรรมอาชญากรรมของนายเสอเป็นครั้งแรก เมื่อทางตำรวจจีนได้ออกมาระบุว่าเขาเป็นบุคคลต้องการตัว แต่ว่าในช่วงเดียวกันนี้ เขาได้บินไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชาเป็นระยะเวลานานแล้ว และเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นนาย Tang Kelun พร้อมกับได้รับหนังสือเดินทางสัญชาติกัมพูชา
ถัดจากประเทศกัมพูชา นายเสอได้เริ่มปฏิบัติการของเขาในภูมิภาคตอนเหนือของเมียนมา ด้วยการจัดตั้งอาณาจักรธุรกิจชื่อว่า KK Park ซึ่งมองจากภายนอก นิคม KK Park แห่งนี้เป็นนิคมที่มีความหรูหรา มีสถานที่พักผ่อน ศูนย์รวมความบันเทิงและธุรกิจต่างๆ แต่เบื้องลึกแล้วสถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนอาณาจักรมนุษย์กินคน ที่รวมไว้ซึ่งการพนัน การฉ้อโกงโทรคมนาคม และการซื้อขายอวัยวะ
บรรยากาศในนิคม KK Park
นอกเหนือจากกิจกรรมผิดกฎหมายเช่นการค้ามนุษย์ การพนันและการฉ้อโกงโทรคมนาคมแล้วนายเสอยังเป็นเจ้าของเหมืองขนาดใหญ่ทั้งเหมือนทองคำ เงิน และโลหะหายากทําให้เขามีรายได้มาก ควบคู่ไปกับกิจการโรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อุตสาหกรรมที่ถูกกฎหมายเหล่านี้ทําให้เขามีเงินทุนไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง
มีการประเมินความมั่งคั่งของนายเสอว่าอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (184,452.5 ล้านบาท) ทำให้เขาเป็นคนที่รวยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของเขาไม่ได้มีแค่เงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงที่ดินจำนวนมาก อสังหาริมทรัพย์และเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
นายเสอยังได้มีการจัดตั้งกองทัพส่วนตัว ซึ่งประกอบไปด้วยทหารชั้นยอดประมาณ 2,000 นาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารเกษียณอายุและทหารรับจ้าง ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวด มีอุปกรณ์ครบครัน และมีความภักดียิ่งต่อนายเสอ จื้อเจียง
กองกำลังกะเหรี่ยงใกล้กับนิคม KK Park
กองทัพของนายเสอไม่ได้แค่เพียงทำหน้าที่เป็นบอร์ดี้การ์ดเท่านั้น แต่ยังรับผิดชอบในการปกป้องผลประโยชน์ของเขาทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยทหารเหล่านี้จะถูกส่งไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่หยุดชะงักจากภัยคุกคามภายนอก
ในขณะที่นายเสอดำเนินกิจกรรมอาชญากรรม เขาก็เริ่มจะสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกควบคู่กันไปด้วย ในปี 2560 นายเสอปรากฎตัวในงานสัมมนาการประชุมธุรกิจจีนโลกหรือ World Chinese Business Conference ซึ่งจัดขึ้นในเมืองมา โดยปรากฎตัวในฐานะนักธุรกิจผู้ทำการกุศล และในช่วงเวลานี้เองเขาก็ได้จัดตั้งบริษัทชื่อว่าYatai International Holdings Group (亚太国际控股集团) หรือ Yatai IHG ในฮ่องกง บริษัทไม่มีสำนักงานในฮ่องกง แต่กลับมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทย
การออกงานต่างๆส่งผลให้เขามีโอกาสได้ร่วมมือกับนายพลที่เปรียบเสมือนกับขุนศึกท้องถิ่น ร่วมกันลงเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (553,357.5 ล้านบาท) และวางแผนที่จะสร้างโครงการโครงการใหม่ที่เรียกว่า "Asia-Pacific Smart Industry New City"
นายเสอเดินหน้าแผนของเขาอย่างชาญฉลาด เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่มุ่งเป้าไปยังการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆในอาเซียน โดยเขามันจะใช้ความรักชาติเป็นฉากบังหน้าและอ้างว่าการดำเนินการของเขาก็เพื่อโปรโมตการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค
ส่วนบทบาทในฐานะผู้ใจบุญของนายเสอ พบว่าเขาเคยบริจาคเงินให้กับผู้สูงอายุในบ้านเกิดเขา ช่วยติดตั้งไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ และปูถนนซีเมนต์ในหมู่บ้าน ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงกล่าวชื่นชมว่านายเสอเป็นคนใจบุญ
นายเสอบริจาคเงินที่เมียนมา
นอกจากนี้ไม่ว่านายเสอจะได้ยินเกี่ยวกับภัยพิบัติที่ไหนเขาก็จะใช้เงินของตัวเองเพื่อสนับสนุนพื้นที่ภัยพิบัติอย่างไม่เห็นแก่ตัว การกระทําของเขาเริ่มดึงดูดความสนใจของทุกคนและสื่อก็รีบรายงานและสัมภาษณ์เขา
ต่อหน้ากล้องนายเสอมักจะยิ้มและกล่าวว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่มีความจำเป็นต้องเผยแพร่ก็ได้ เขาทำดีที่สุดเพื่อมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยต่อบ้านเกิดและสังคม เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเริ่มเชื่อว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยและใจบุญ และทำให้เขามีตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าทุกสิ่งที่นายเสอทํานั้นเป็นเพียงการปกปิดที่ชาญฉลาดเพื่อปกปิดแผนการร้ายกาจของเขา จุดประสงค์ของเขาคือการสร้างเรื่องโกหก แล้วใช้รางวัลมูลสูงเป็นเหยื่อล่อให้ชาวจีนบางคนของเขาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็น "ผู้ช่วย" ในแผนการของเขา
คนที่ถูกหลอกลงต้องประสบกับเคราะห์กรรมมากมาย แทนที่จะได้ตำแหน่งซึ่งได้เงินเดือนตอบแทนสูง พวกเขากลับถูกลงทะเบียนในเชิงและถูกค้ามนุษย์ต่อในราคาที่สูง โดยผู้ชายที่มีสุขภาพดีและผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีจะมีราคาที่สูงกว่า
เหยื่อผู้ถูกค้ามนุษย์จะถูกขนย้ายไปยังสถานที่ที่เรียกว่า KK Park ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่าง ๆ นาๆเพื่อบังคับให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมฉ้อโกง ยิ่งไปกว่านั้นนายเสอยังได้ร่วมมือกับแก๊งอาชญากรเชี่ยวชาญในการค้าอวัยวะมนุษย์อย่างผิดกฎหมายดำเนินกิจกรรม
ด้วยเหตุผลว่าหลายประเทศในอาเซียนยังคงล้าหลังจึงทำให้มีขุนศึกหลายคนในประเทศและมีองค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และการที่รัฐบาลในภูมิภาคอาเซียนไม่สามารถปกครองได้อย่างเต็มรูปแบบ นี่จึงกลายเป็นนรกสำหรับคนจนและสวรรค์สำหรับคนรวยที่สามารถทำอะไรก็ได้
ในที่สุดนายเสอจื้อเจียงก็ถูกจับขณะอยู่ในประเทศไทยเมื่อเดือน ส.ค. 2565 และต่อมาในวันที่ 25 พ.ค. 2566 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกกมากล่าวว่าศาลอาญาได้มีคำสั่งในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ส่งตัว นายเสอ หรือในชื่อแส จิ้นเจียง เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐาน ทำการเปิดบ่อนกาสิโนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามกฎหมายอาญาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มาตรา 303 วรรค 2 ประกอบกับมาตรา 2 และมาตรา 7
เนื่องจาก นายเสอ ถูกกล่าวหาว่าได้เปิดเว็บไซต์การพนัน รวมทั้งบ่อนการพนันที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มีผู้เข้าเล่นการพนันกว่า 330,000 ราย สร้างความเสียหายมากกว่า 150 ล้านหยวน หรือประมาณกว่า 700 ล้านบาท (อ้างอิงข่าวส่วนนี้จากไทยรัฐ)
อย่างไรก็ตามนายเสอได้เดินเรื่องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลอาญา ส่งผลทำให้ตอนนี้เขายังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. นายเสอก็ได้ออกคลิปยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองจากในเรือนจำ และอ้างว่าเขาถูกกลั่นแกล้งจากทางการจีน ส่งผลทำให้ทางกรมราชทัณฑ์ต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าวทันที
เรียบเรียงจาก:https://www.sohu.com/a/720231619_121687421