"...จากการลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยสอบถามกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนที่ยังคงเลือกที่จะตั้งโต๊ะ กางร่มขายอยู่บริเวณจุดเดิมท่ามกลางซากปรักหักพังของการรื้อถอน พบว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในส่วนที่ต่อเติมที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ต่างบอกว่า ไม่มีที่ขายของ ทางอบจ.ไม่มีการทำแผนรองรับ ขณะที่ทุกคนต้องหาเลี้ยงครอบครัว และได้รับความเดือดเดือดร้อนหนัก บางคนตัดสินใจมากางร่มขายของที่เดิม บางรายยอมไปจ่ายค่าเช่าแผงใหม่ในอาคารในราคาเดือนละ 3,000–6,000 บาท แต่ก็ขายไม่ได้..."
กรณีการก่อสร้างต่อเติมตลาดสดองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง (อบจ.ตรัง) หรือตลาดสดย่านตาขาว อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาลตำบลย่านตาขาวตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ทำให้เกิดปัญหาตลาดซ้อนตลาด โดยส่วนที่ต่อเติมอยู่วงนอกตัวอาคารตลาด และรุกล้ำลงบนถนนสาธารณะของเทศบาลทุกด้าน อีกทั้งยังมีการขายของทุกชนิดเหมือนกันกับผู้ค้าในอาคาร พ่อค้าแม่ค้าในอาคารเดือดร้อนขายของไม่ได้มายาวนาน กว่า 20 ปีที่มีการต่อเติม แผงจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ไม่มีผู้เช่า
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่จากเทศบาลตำบลย่านตาขาวเจ้าของพื้นที่ พร้อมอุปกรณ์รื้อถอน และรถบรรทุก เข้าทำการรื้อถอนส่วนต่อเติมอาคารของตลาดย่านตาขาวออกแล้ว มีทั้งส่วนที่ต่อเติมแบบชั่วคราวแบบใช้ผ้ายางเป็นหลังคากันแดดกันฝน และส่วนที่ต่อเติมกึ่งถาวร ลงเสาแข็งแรง มุงกระเบื้อง และติดตั้งชั้นวางสินค้า ซึ่งทั้งหมดเป็นการต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคารจากเทศบาลตำบลย่านตาขาวในฐานะเจ้าพนักงาน หลังจากเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งให้เทศบาลตำบลย่านขาวดำเนินการรื้อถอนอาคารในส่วนที่มีการดัดแปลงต่อเติม ที่มิได้ขออนุญาตเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้เอง (บริเวณรอบตลาดสด อบจ.ตรัง) อาศัยอำนาจตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพ.ร.บ.คุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยเดิมกำหนดรื้อถอนในวันที่ 25 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา
แต่ไม่สามารถดำเนินการได้
เพราะติดปัญหาผู้ค้าที่ค้าขายกันมากว่า 20 ปี ไม่ยินยอม เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่ค้าขาย จนต้องรวมตัวกันไปขอความช่วยเหลือจาก นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายกอบจ.ตรังคนปัจจุบันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 จนปัจจุบันก็ยังหาทางออกไม่ได้ และมีการบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ค้าในส่วนที่ต้องรื้อถอนพื้นที่ ไปขายเป็นการชั่วคราวที่ตลาดนัดหน้าหมู่บ้านศรีตรัง
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวพิเศษสำนักข่าวอิศรา รายงานความคืบหน้ากรณีนี้เพิ่มเติมว่า ภายหลังการรื้อถอนโดยเจ้าหน้าที่จากเทศบาลต.ย่านตาขาว พ่อค้าแม่ค้าค้าจำนวนมากได้เข้าแจ้งปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นหลังการรื้อถอนกับผู้สื่อข่าว และพาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่อีกครั้ง และพบข้อมูลบางอย่างที่เป็นที่น่าสังเกตุเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่และการจัดเก็บรายได้ของตลาด
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยสอบถามกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนที่ยังคงเลือกที่จะตั้งโต๊ะ กางร่มขายอยู่บริเวณจุดเดิมท่ามกลางซากปรักหักพังของการรื้อถอน พบว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในส่วนที่ต่อเติมที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว ต่างบอกว่า ไม่มีที่ขายของ ทางอบจ.ไม่มีการทำแผนรองรับ ขณะที่ทุกคนต้องหาเลี้ยงครอบครัว และได้รับความเดือดเดือดร้อนหนัก บางคนตัดสินใจมากางร่มขายของที่เดิม บางรายยอมไปจ่ายค่าเช่าแผงใหม่ในอาคารในราคาเดือนละ 3,000–6,000 บาท แต่ก็ขายไม่ได้
อีกทั้งเศษวัสดุการรื้อถอนที่ยังวางระเกะระกะ ทำให้ไม่มีคนมาซื้อของ ทั้ง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ขายของอยู่ในอาคาร และกลุ่มที่เดิมขายอยู่ในส่วนต่อเติม ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด
นางปัดติญา ตันอาวัชนาการ แม่ค้าที่ถูกรื้อถอน กล่าวว่า หลังจากถูกรื้อก็ไม่มีที่ขายของ หลายรายก็มากางร่มขายที่เดิม เพราะทุกคนต้องทำมาหากิน ส่วนตนกลับขึ้นไปขายที่แผงเดิมในอาคาร แต่ขายไม่ได้ เพราะคนไม่เข้าในอาคาร ยังมีแผงร้าง แผงว่างจำนวนมาก พ่อค้าแม่ค้าไม่มีใครอยากขึ้นมาขาย เพราะพื้นที่ไม่สะอาด สกปรกรกรุงรัง รื้อแล้วอบจ.ไม่ทำแผนรองรับเลย ต้องการให้อบจ.มาพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าว่าจะเอาอย่างไร ระยะเวลา 45 วันที่ระบุไว้ในเอกสารแจ้งการรื้อถอน แต่ควรจะจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสม และทำความสะอาดปรับปรุงตลาดภายในอาคารให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับความเป็นตลาด ประชาชนจะได้เข้ามาซื้อ
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลจากพ่อค้าแม่ค้าในส่วนต่อเติมหลายราย ได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ต่อเติมนั้น มีการแบ่งเป็นล็อก เป็นแผงค้าชัดเจน และกินพื้นที่ลงบนถนนของเทศบาลจำนวนมาก เสมือนเป็นตลาดถาวร เพราะมีการค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือค่าเซ้งแผงแรกเข้า และจ่ายต่อมือกันมา ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน อบจ.ตรังให้ร้านค้าเช่าแผงในอาคารตลาด แต่ต่อมาได้อนุญาตให้ต่อเดิมสิ่งปลูกสร้างรอบตลาดสดโดยรอบ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าในขณะนั้นต้องออกค่าใช้จ่ายในการต่อเติม ค่าแป๊ะเจี๊ยะต่างๆ รวมๆแล้วแต่ละคนต้องจ่ายเงินคนละประมาณ 1 แสนบาท
นอกจากนี้ยังมี ค่าเช่ารายวัน ค่าเช่ารายเดือน ซึ่งบุคคลที่มาเก็บก็ไม่ได้แสดงตนว่ามาจากหน่วยงานราชการ แต่ผู้ค้ายอมจ่ายให้เพราะคิดว่าส่วนต่อเติมเป็นส่วนหนึ่งของตลาด และจ่ายต่อเนื่องกันมานานแล้ว โดยไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเองขายของอยู่บนถนนสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ยังมีค่าเก็บขยะที่ทางเทศบาลจัดเก็บแผงละ 20 บาท โดยออกเป็นคูปองใบเสร็จอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดพ่อค้าแม่ค้าได้จ่ายต่อเนื่องมาตลอด 20 ปี โดยไม่รู้ว่าตัวเองจ่ายค่าเช่าบนถนนสาธารณะ และไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวไปอยู่ที่ใครหรือหน่วยงานใด
ด้านนายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายก อบจ.ตรัง กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า ในเบื้องต้นเตรียมประสานนายวุฒิชัย สุนทรนนท์ นายกเทศมนตรีตำบลย่านตาขาว เพื่อหารือในการกำหนดจุดผ่อนผันในการค้าขายชั่วคราวให้แก่พ่อค้าแม่ค้าในส่วนต่อเติมที่ถูกรื้อ โดยจะกำหนดจุดร่วมกันไม่ให้รุกล้ำเส้นทางจราจรหรือทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากนั้น อบจ.มีแผนจะทุบทิ้งอาคารตลาดสดทั้งหมด เพื่อก่อสร้างใหม่ คาดว่าจะสามารถทุบทิ้งได้ในปี 2566 หากการก่อสร้างแล้วเสร็จ ในอนาคตก็จะเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ ให้พ่อค้าแม่ค้ามีแผงจำหน่ายเป็นของตนเอง จะไม่เกิดปัญหาว่าตรงไหนขายไม่ได้อีก
@ นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ
ทั้งนี้ เกี่ยวกับกรณี ตลาดส่วนต่อเติมที่เพิ่งถูกรื้อถอนไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่เทศบาลฯได้ฟ้องร้องไว้นั้น ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า ตลาดดังกกล่าวสร้างและต่อเติมในช่วงปี 2544 ยุคของนายกิจ หลีกภัย อดีตนายกอบจ. พี่ชายนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายกิจได้ถูกสำนักงานป.ป.ช.ประจำจ.ตรัง ชี้มูลในข้อกล่าวหา ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้เช่าอาคารตลาดย่านตาขาว โดยสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง ได้แจ้งผลการพิจารณา ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2562 พร้อมส่งเรื่องให้ นายลือชัย เจริญทรัพย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังในขณะนั้น แต่งตั้งถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจตาม มาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561แต่เรื่องยังคงเงียบจนถึงทุกวันนี้
@ นายกิจ หลีกภัย
ขณะที่ นายกิจ หลีกภัย เคยชี้แจงสำนักข่าวอิศรา ยืนยันว่า "ไม่มีการปล่อยปละละเลยเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ตามข้อร้องเรียนดังกล่าวหรือมีการทุจริตเกิดขึ้นในการบริหารงานตลาดแต่อย่างใด"
สำหรับกรณีนี้ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม สำนักข่าวอิศรา จะนำมาเสนอต่อไป