“..สวีเดนได้ออกประกาศยุติข้อจำกัดทางสังคมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้านอาหารและบาร์ ไม่ต้องปิดภายในเวลา 23:00 น. และผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน แต่ยังคงข้อบังคับการสวมหน้ากากในการขนส่งสาธารณะ และจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการสำหรับกิจกรรมในร่มขนาดใหญ่..”
แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในหลายประเทศเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นที่น่ากังวล แต่การเข้มงวดมาตรการ รวมถึงการล็อกดาวน์ ไม่ใช่แนวทางที่นิยมในการป้องกันและหยุดยั้งวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้อีกแล้ว อาจเป็นเพราะมีวัคซีนแล้ว แม้ว่าจะติดเชื้อมาก แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอาการหนัก อีกทั้งหลายประเทศต้องการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจต่างๆ อีกด้วย
เช่นเดียวกับประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ มีกระแสข่าวการปลดโรคโควิด-19 ออกจากรายการโรคฉุกเฉิน ส่งผลต่อสิทธิ์บริการ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) หรือ การให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลที่ไหนก็ได้ใกล้บ้านและรักษาฟรี ซึ่งสวนทางกับสถานการณ์ที่ผู้ติดเชื้อในไทยกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการนำโรคโควิดออกจากการเจ็บป่วยฉุกเฉิน (UCEP) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป โดยยืนยันว่าการรักษาผู้ติดโควิดจะเป็นไปตามสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิ์ของประชาชน และขอย้ำว่า ประชาชนยังได้รับการรักษาฟรีตามสิทธิ์ที่มีอยู่ การให้บริการของประชาชน ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ล่าสุด ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาเห็นชอบให้มีการเลื่อนประกาศใช้ดังกล่าวออกไป เพื่อให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจกับการใช้บริการด้านสุขภาพของตัวเอง และเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังนั้น จึงขอให้ยึดหลักเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินรักษาฟรีทุกที่ หรือ ยูเซป (UCEP) เช่นเดิม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การคลายล็อกมาตรการต่างๆ ของนานาประเทศทั่วโลก มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
เดนมาร์ก
เดนมาร์ก เป็นประเทศในยุโรปแห่งแรกที่ยกเลิกมาตราการและข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งหมด โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าประเทศ พร้อมหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือประวัติการรักษา โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบหรือกักตัว
นอกจากนี้ ยังได้ยกเลิกหนังสือเดินทางดิจิทัลโควิด-19 หรือการแสดงหลักฐานการรับวัคซีน-ตรวจหาเชื้อ ก่อนเข้าใช้สถานที่ต่างๆ ในอาคาร และยกเลิกมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม และสวมหน้ากากในที่สาธารณะ ยกเว้นในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
“หลังจากการระบาดใหญ่เป็นเวลา 2 ปี ประชากรในประเทศส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันในระดับสูงแล้ว จากวัคซีนหรือการเจ็บป่วยตามธรรมชาติ นี่คือวิธีที่จะยุติวิกฤติครั้งนี้ลงโดยพิจารณาจากสิ่งที่เราได้เห็นจากการแพร่ระบาดครั้งประวัติศาสตร์” นางโลน ไซมอนเซน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยรอสกิลด์ (University of Roskilde) เดนมาร์ก กล่าว
นอร์เวย์
นอร์เวย์ ได้ยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับนักเดินทางต่างชาติขาเข้า แต่ยังคงข้อกำหนดให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศแสดงหลักฐานว่าได้รับวัคซีนครบถ้วน หรือหายจากโรคโควิด-19 ก่อน หรือผลการทดสอบโควิด-19 เป็นลบ ไม่เกิน 24 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางครั้งแรก
นอกจากนี้ ยังได้ออกประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบหลายฉบับ แต่คงแนะนำแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านในร่ม
รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยประกาศว่า “โควิด-19 ไม่ใช่ภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญสำหรับพวกเราส่วนใหญ่อีกต่อไป”
สวีเดน
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ สวีเดน ได้เข้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบสแกนดิเนเวียอย่าง นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ในการก้าวไปสู่อนาคตหลังการระบาดของโควิด โดยยกเลิกมาตรการทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและควบคุมโควิด-19 เกือบทั้งหมด พร้อมทั้งเปิดประเทศต้อนรับนักเดินทางจากสหภาพยุโรป (European Union: EU) เขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area: EEA) และสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่มีข้อกำหนดในการแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือผลทดสอบ ส่วนนักท่องเที่ยวจากพื้นที่อื่น ๆ จะสามารถเดินทางเข้ามาได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป
อีกทั้ง ได้ออกประกาศยุติข้อจำกัดทางสังคมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ร้านอาหารและบาร์ ไม่ต้องปิดภายในเวลา 23:00 น. และผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน แต่ยังคงข้อบังคับการสวมหน้ากากในการขนส่งสาธารณะ และจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการสำหรับกิจกรรมในร่มขนาดใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่า รัฐบาลจะไม่ต้องการรายงานผลจากผู้ติดเชื้ออีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้สวีเดนจะไม่มีการอัพเดทข้อมูลอัตราการติดเชื้ออีกต่อไป ทำให้บริษัทด้านสุขภาพเอกชนที่ให้บริการตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงโครงการการตรวจหาเชื้อที่รับการสนับสนุนจากรัฐได้ปิดตัวลงแล้ว
เยอรมนี
รัฐบาลเยอรมนี ได้วางแผนที่จะยกเลิกมาตรการและข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 โดยส่วนใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจรวมไปถึงข้อจำกัดสำหรับประชาชนที่ไม่ได้รับวัคซีนสามารถผ่อนคลายหรือยกเลิกได้ แม้ว่าการสวมหน้ากากอนามัยจะยังคงเป็นข้อบังคับในระบบขนส่งสาธารณะและในการทำกิจกรรมในร่มก็ตาม
โดยขั้นตอนแรกของการผ่อนคลายมาตรการ การเพิ่มข้อจำกัดการรวมตัวของผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจาก 10 เป็น 20 ราย ส่งผลให้ร้านอาหารและโรงแรมสามารถต้อนรับแขกได้มากขึ้น ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ในขณะที่ไนต์คลับและสถานที่แสดงดนตรีก็สามารถเปิดได้อีกครั้ง
เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ได้ปัดตกความพยายามในการสกัดกั้นคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่กำหนดว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งโรงพยาบาล และศูนย์สุขภาพเอกชน จะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายในวันที่ 15 มีนาคม 2565 ไม่เช่นนั้นจะถูกสั่งห้ามปฏิบัติหน้าที่ โดยมาตรการดังกล่าว ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายสิบคน และรัฐบาลระดับภูมิภาคของบาวาเรียได้ลงมติให้ยกเลิกมาตรการนี้ นำโดยฝ่าย อนุรักษ์นิยม (Christian Democratic Union of Germany: CDU) ซึ่งขณะนี้ เยอรมนีกำลังหารือเกี่ยวกับคำสั่งวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม
อังกฤษ
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหรัฐอาณาจักร แถลงว่า อังกฤษ (England) จะยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดเกี่ยวกับการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ รวมทั้งข้อบังคับให้ผู้ติดเชื้อโควิดต้องกักตัวเองจะลดสถานะจากกฎหมายกลายเป็นคำแนะนำ โดยรัฐบาลจะปรับลดการแจกชุดตรวจโควิดฟรีแก่ทุกคนลงเหลือประชากรเฉพาะกลุ่ม มีผล 1 เมษายนที่จะถึงนี้
“โควิดจะไม่หายไปในทันใด ดังนั้นพวกที่จะรอให้สงครามนี้สงบราบคาบก่อนยกเลิกข้อจำกัดที่เหลือ คือพวกที่พยายามจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวอังกฤษไปอีกนาน ข้อจำกัดต่าง ๆ ล้วนมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของเรา สังคมของเรา สุขภาพจิตของเรา โอกาสในชีวิตของลูกหลานของเรา ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทนกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป” นายบอริส กล่าว
สำหรับการยกเลิกข้อจำกัดและมาตรการต่างๆ จะมีผลให้การติดตามตัวรายวันผู้ติดเชื้อจะยุติลง ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ได้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อไม่ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อติดกันเป็นเวลา 7 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เดิม
นายบอริส กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 1 ผล 1 เมษายน ผู้ติดเชื้อโควิดได้รับคำแนะนำให้พักอยู่บ้าน ส่วนหลัง ผล 1 เมษายนไปแล้ว รัฐบาลแนะนำให้คนกลุ่มนี้ที่แสดงอาการ ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลว่าควรทำอย่างไร เนื่องจากในปัจจุบัน ระดับภูมิคุ้มกันในสังคมค่อนข้างสูงมาก และอัตราเสียชีวิตต่ำ ต่ำกว่าระดับที่ได้มีการคาดไว้ว่าจะเกิดสำหรับช่วงนี้ของปี ทำให้สามารถยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ ได้
สำหรับชุดตรวจโควิด-19 (Lateral Flow Tests) ที่รัฐบาลเคยแจกฟรีให้ประชาชนทุกคนนั้น จะเปลี่ยนมาแจกให้ผู้สูงอายุที่มีอาการ และคนกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ตั้งแต่ 21 กุมภาพันธ์ รัฐบาลอังกฤษได้ยกเลิกข้อแนะนำให้นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา และสถานรับเลี้ยงเด็กตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ สัปดาห์ละ 2 ครั้งอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ คือสถานการณ์ของนานาประเทศที่ได้มีการยกเลิกมาตรการและยุติข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะต้องติดตามต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่? เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ยังมีแนวโน้มที่รุนแรงและผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูงอยู่
เรียบเรียงจาก:
Sweden, Norway and Denmark Have Ditched COVID-19 Restrictions
COVID in Europe: France and Switzerland ease coronavirus restrictions