ปมไม้พะยูง 200 ล.ส่อถึงศาลปค.! พนง.สอบสวน ยันคืนให้ 'คำสะไหว' แม้ถูกค้านหนัก

Woodddd

ปมศึกชิงไม้พะยูงของกลาง 200 ล้าน ส่อบานปลายถึงศาลปกครอง! หลังพนักงานสอบสวนยันคืนให้ 'คำสะไหว' แม้มีผู้คัดค้าน เชื่อมั่นดุลยพินิจ ปทส. - ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้ ถ้าคืนผิดต้องมีคนรับผิดชอบ

.......................

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าศึกชิงไม้พะยูงของกลางจำนวนกว่า 11 ตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 1,664 ท่อน 155 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท ที่อ้างว่าถูกนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และถูกยึดไว้ที่สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง (ด่านลาดกระบัง) เมื่อปี พ.ศ.2549 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการนำไม้ดังกล่าวส่งคืนให้กับ สปป.ลาวแต่อย่างใด ทั้งที่เมื่อปี 2556 กระทรวงการต่างประเทศได้มีมติเตรียมจะคืนไม้ของกลางทั้งหมดให้กับรัฐบาล สปป.ลาว เรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลอย่างน้อย 3 กลุ่ม อ้างสิทธิ์ขอคืนไม้พะยูงของกลางดังกล่าว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้มีการเชิญตัวแทนกลุ่มผู้อ้างสิทธิครอบครองไม้พะยูงทุกกลุ่มเข้ารับฟังคำชี้แจงจากทางกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ออกคำวินิจฉัยให้ ปทส.แจ้งผลตรวจสอบหลักฐานผู้อ้างสิทธิเป็นตัวแทน จาก Phongsavanh Wood industry หรือบริษัท พงสะหวัน ค้าไม้ จํากัด หรือบริษัท พงษ์สะหวัน อุตสาหกรรมไม้ หรือบริษัท พงษ์สะหวัน อุตสาหกรรมไม้ จํากัด หรือโรงเลื่อยพงษ์สะหวัน หรือบริษัท วิสาหกิจ ส่วนบุคคลพงสะหวันอุตสาหกรรมค้าไม้ จํากัด ที่มีสิทธิเรียกร้องขอคืนไม้พะยูงของกลาง ภายใน 15 วัน พร้อมขอให้กรมศุลกากร ในฐานะผู้เก็บรักษาไม้พะยูงของกลาง มีคําสั่งให้สํานักงานศุลกากรตรวจ สินค้าลาดกระบัง คืนไม้พะยูงของกลางให้แก่บุคคลที่ ปทส. ยืนยันว่าเป็นบุคคลผู้รับมอบอํานาจด้วย

(อ่านประกอบ:จำแนก 4 กลุ่ม ศึกชิงไม้พะยูง 200 ล.! ผู้รับจ้างขนเข้าไทย โผล่อ้างสิทธิ์ขอคืนด้วย?,'ผู้ตรวจการแผ่นดิน' จี้ ปทส. ตรวจหลักฐานคนขอคืนไม้พะยูง 200 ล. ภายใน 15 วัน,ลุยแจ้งความผู้แอบอ้าง! ตัวแทนกก.พงสะหวัน ยันครองสิทธิ์ไม้พะยูง 200 ล.เจ้าเดียว)

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ผลการเข้ารับฟังคำชี้แจงครั้งนี้ มีผู้เข้ามารับฟังคำชี้แจงเพียงแค่ 2 ราย คือ 1.นายสมสัก แก้วผาลี ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทน สปป.ลาว และ 2.นางสาวิตรี นันทวิวัฒน์ ผู้รับมอบอำนาจจากนายสอนแก้ว สิดทิไช ผู้บริหาร บริษัท พงสะหวัน ค้าไม้ จํากัด หนึ่งในผู้อ้างสิทธิในไม้พะยูง

Police1

บรรยากาศในการเข้ารับฟังคำชี้แจง

ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว พนักงานสอบสวน ได้ยืนยันว่าจะคืนไม้ให้กับนายคำสะไหว พมมะจัน นักธุรกิจชาวลาว ซึ่งเคยอ้างตัวว่าเป็นตัวแทนบริษัทพงสะหวันก่อนหน้านี้ แต่ว่าถ้าหากใครยังมีข้อโต้แย้งอยู่ ก็มีการเสนอแนะว่าให้ไปร้องเรียนที่ศาลปกครองกลางต่อไป ขณะที่ฝ่ายผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่าถ้าคืนผิด ปทส.พนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบ

ขณะที่นายสมสัก แก้วผาลี ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทน สปป.ลาว ยืนยันว่า "ทาง สปป.ลาว ที่มีผมเป็นตัวแทน มีความเสียใจอย่างมาก ว่าเราไม่ได้เอาหลักฐานมาให้กองประชุมได้เห็น เขาบอกว่าเขาคืนไม้ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2563 แต่ตรงนี้ทางลาวก็ไม่รับทราบเลยว่าเขาคืนไปตอนไหน พอเขาก็บอกว่าทำหนังสือไปแจ้งทางลาว ทางลาวจะไม่มีความประสงค์จะมายุ่งเกียวกับเรื่องการคืนไม้ ก็เพราะว่าคุณใช้ดุลยพินิจของคุณเองในการไปคืน ทาง สปป.ลาวไม่ได้รับทราบ ดังนั้น ลาวจึงมีหนังสือตอบกลับมาว่าลาวไม่มีประสงค์จะไปยุ่งเกี่ยวกับการคืนของคุณ เพราะว่าคุณไม่คืนทรัพย์สินของทาง สปป.ลาวให้กับทางประเทศลาว" นายสมสักกล่าว

นายสมสัก กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาทาง สปป.ลาวได้พยายามขอคืนไม้มาตั้งแต่ปี 2549 แต่ว่าทาง ปทส.หรือป่าไม้นั้นบอกว่าเป็นไม้ของไทย พอพิสูจน์มาจนถึงปี 2553 กระทรวงต่างประเทศได้มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนก็พบว่าไม่ใช่ไม้ของไทย เป็นไม้ที่นำเข้ามาจาก สปป.ลาว แต่ว่าพอพนักงานสอบสวนที่มีคำสั่งมาจากทางสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าคืนของกลางให้แก่ สปป.ลาว

เมื่อถามว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายสมสักกล่าวว่า คงต้องทำหนังสือค้านพนักงานสอบสวนในการคืนไม้ของ ปทส. แต่ส่วนตัวขอยืนยันว่าเคยมีการคืนไม้กองนี้ให้กับตนมาแล้วในสมัยที่ พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข เป็นผู้บัญชาการ ปทส.

Police2

นายสมสัก แก้วผาลี ผู้อ้างตัวแทน สปป.ลาว

ขณะที่ นางสาวิตรี นันทวิวัฒน์ ผู้รับมอบอำนาจจากนายสอนแก้ว สิดทิไช ผู้บริหาร บริษัท พงสะหวัน ค้าไม้ จํากัด กล่าวว่า "ทางพนักงานสอบสวนนั้นมีคำตัดสินว่าจะคืนให้กับบริษัท Phongsavanh Wood industry ก็จริง แต่ที่เรามาแย้งก็เพราะว่าทาง ปทส.ยังยืนยันว่าจะคืนให้นายคำสะไหว ซึ่งเราก็โต้แย้งไปว่านายคำสะไหวใช้เอกสารปลอมของบริษัททั้งหมด และ ปัจจุบันก็มีการยื่นดำเนินคดีกับนายคำสะไหวอยู่ นอกจากนี้ยังปรากฎข้อเท็จจริงด้วยว่านายคำสะไหวนั้นจริงๆแล้วคือคนไทย ชื่อนายไหว โสมกุล ซึ่งมีที่อยู่ และเกิดที่ จ.บุรีรัมย์ ทีนี้ทาง ปทส.ก็ยืนยันว่ายังไงก็ต้องคืน หากผู้ร้องแย้งไม่เห็นด้วยหรือว่าบริษัทไม่เห็นด้วย ต้องฟ้องร้องดำเนินการในทางแพ่งกับทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ

เมื่อถามว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ นางสาวิตรีกล่าวว่า "จากที่ดำเนินการมาเบื้องต้น ก็ทราบอยู่แล้วว่าทางหน่วยงานราชการน่าจะยืนยันแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงรวบรวมพยานหลักฐาน เตรียมการเอาไว้ในการที่จะยื่นฟ้องร้องในทางแพ่งต่อไป และก็น่าจะไปถึงศาลปกครองด้วยเช่นกัน เพราะขณะนี้เราจะต้องมีการดำเนินการอายัดของกลางเอาไว้ก่อน"

เมื่อถามว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ฟังข้อมูลการโต้แย้งเลย นางสาวิตรีกล่าวว่า "เขาก็อ้างว่าเคารพในดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ซึ่งตรงนี้ทางผู้ตรวจการแผ่นดินที่อยู่ในห้องประชุมด้วยก็ได้แย้งว่าหากเกิดข้อผิดพลาด หรือสรุปแล้วคืนให้ผิดคน ทางพนักงานสอบสวนต้องรับผิดทั้งในทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งเราก็ได้แย้งไปแล้วว่าในเมื่อเรารู้ว่าในอนาคตอาจจะมีความผิด หรือเกิดเหตุการณ์ตรงนี้ขึ้น ทำไมเราไม่แก้ไขโดยการที่เราแจ้งถึงบริษัทโดยตรง โดยไม่ผ่านผู้รับมอบอำนาจบุคคลอื่นใด แต่แจ้งให้บริษัทเข้ามารับเองเลย ทำไมหน่วยงานราชการถึงไม่ทำตรงนี้"

นางสาวิตรี กล่าวอีกว่า สำหรับโครงสร้างของบริษัทพงสะหวันนั้น ในช่วงที่มีการจัดตั้งเป็นวิสาหกิจของลาว หรือเปรียบเทียบได้กับใบจดทะเบียนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้านั้นก็มีชื่อของนายอ็อดเป็นเจ้าของวิสาหกิจ และในส่วนของคณะผู้อำนวยการก็จะมีนายสอนแก้ว และนายพรมมะไขยเป็นผู้อำนวยการ ซึ่งในเวลาต่อมานายพรมมะไขยได้เสียชีวิตไป โดยในช่วงปี 2557 นั้น นายอ๊อดได้มีการแต่งตั้งให้นายสอนแก้วเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและเป็นคนถือตราประทับแต่เพียงผู้เดียว โดยที่นายอ๊อดไม่ได้ยุ่งเกี่ยวไปแล้วตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งนายสอนแก้วเองก็ได้มีความพยายามที่จะดำเนินการเรื่องไม้มาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว แต่ว่าตอนนั้นศาลฎีกายังไม่มีคำพิพากษา จึงทำให้เรื่องนี้เนิ่นนานมาถึงปัจจุบัน

Police3