ปตท.เดินหน้าผลักดันไทยเป็น ‘ฮับแอลเอ็นจี’ เต็มตัว หลังจากคลังก๊าซที่หนองแฟบแล้วเสร็จในปี 65 คาดในช่วง 10 ปี จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ประเทศ 1.65 แสนล้านบาท เพิ่มการจ้างงาน 1.6 หมื่นตำแหน่งต่อปี
................
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเดินหน้านโยบายให้ไทยเป็นฮับแอลเอ็นจีในภูมิภาค (LNG Regional Hub) มีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดยปตท.ตั้งเป้าว่าภายในปี 2565 ไทยจะเป็นฮับแอลเอ็นจีเต็มตัว และคาดว่าในช่วง 10 ปี (ปี 2563-72) ฮับแอลเอ็นจีดังกล่าวจะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท และสร้างงานมากกว่า 1.6 หมื่นตำแหน่งต่อปี
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุน LNG Regional Hub นั้น ในส่วนของการก่อสร้าง LNG Terminal ที่หนองแฟบ หรือโครงการ Nong Fab LNG Receiving Terminal กำลังกักเก็บและแปรสภาพ 7.5 ล้านตันต่อปี มูลค่าลงทุน 3 หมื่นล้านบาท มีความคืบหน้าไปแล้ว 58.6% และมีกำหนดแล้วเสร็จเดือนก.ค.2565 ส่วนการก่อสร้างระบบท่อเส้นที่ 5 และท่อ RA#6-ราชบุรี มีความก้าวหน้าแล้ว 90.7% โดยมีกำหนดแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2565
“มีลูกค้าติดต่อเข้ามาแล้วทั้งลูกค้าในจีนและเวียดนาม ซึ่งหลังจากเราได้ทำการทดสอบการนำเข้าและส่งออกไปแล้ว ก็คาดว่าจะมีการส่งออก LNG ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า เลื่อนไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนกลุ่มลูกค้าของเราจะเป็นกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) และจีนตอนใต้ ทั้งนี้ หากเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ไทยเรามีจุดแข็ง คือ มีความต้องการภายในประเทศและมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม” นายวุฒิกรกล่าว
นายวุฒิกร ยังกล่าวถึงปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยในปี 2563 ว่า ความต้องการใช้ก๊าซฯจะลดลง 8-10% เมื่อเทียบกับปี 2562 หรือลดลงเหลือ 4.8 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2562 เหลือ 4.4 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2563 เพราะผลกระทบจากโควิด-19 และคาดว่าในปี 2564 ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2563 โดยคาดว่าความต้องการที่จะอยู่ที่ระดับ 4.35 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ด้านนายรัตติกูล ปิยะวงค์วาณิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท PTT LNG จำกัด กล่าวว่า หลังโครงการ Nong Fab LNG Receiving Terminal แล้วเสร็จในปี 2565 เมื่อรวมกับเทอร์มินอลแอลเอ็นจีที่มาบตาพุด (Map Ta Phut LNG Terminal) ซึ่งมีกำลังกักเก็บและแปรสภาพ 11.5 ล้านตันต่อปี จะทำให้ไทยเป็นฮับแอลเอ็นจีที่มีกำลังกักเก็บ 19 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นปริมาณ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณในอ่าวไทย
(รัตติกูล ปิยะวงค์วาณิชย์)
รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 1 ต.ค.2562 ที่ผ่านมา บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ระหว่าง บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด (PTT Tank) ซึ่งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 100% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (กนอ.)
ทั้งนี้ ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด ได้รับสิทธิในการก่อสร้าง LNG Terminal ช่วงที่ 1 ขนาดกักเก็บไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตันต่อปี และสามารถขยายกำลังการกักเก็บได้จนถึง 10.8 ล้านตันต่อปี
อ่านประกอบ :
‘ซีอีโอปตท.’ มองนโยบาย ‘ไบเดน’ กระตุ้นศก.โลก-เทรดวอร์คลี่คลาย-คาดน้ำมันปีหน้า 40-50 ดอลล์
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage