ศบค.เเถลงติดโควิด-19 เพิ่ม 2 กลับจากซาอุดิฯ -เนเธอร์เเลนด์ ไม่มีผู้เสียชีวิต 'พญ.พรรณประภา' เเจงระยะปลอดภัยเเพร่ระบาด ต้องรอ 28 วัน หลังป่วยในประเทศศูนย์รายเป็นวันที่ 15
วันที่ 9 มิ.ย. 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข เเพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย ว่ามีผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่ 2 ราย ซึ่งทั้งหมดกลับจากต่างประเทศเเละเข้าพักในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ โดยรายเเรกเดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นนักศึกษาชาย อายุ 22 ปี วันที่ 25 พ.ค. มีอาการไข้ เเละเข้ารับการตรวจหาเชื้อวันเดียวกัน ผลไม่พบเชื้อ ต่อมามีการตรวจครั้งที่สอง วันที่ 7 มิ.ย. ผลพบเชื้อ เเละเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลยะรัง จ.ปัตตานี
รายที่สอง เดินทางกลับจากประเทศเนเธอร์เเลนด์ เป็นหญิงไทย อายุ 31 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 3 มิ.ย. เข้าพักโรงเเรมในกรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อวันที่ 3 มิ.ย. เเต่ผลบวกไม่ชัดเจน เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลนพรัตน์ กรุงเทพฯ เเละวันที่ 8 มิ.ย. ส่งตัวอย่างตรวจซ้ำ ผลพบเชื้อ ทำให้ขณะนี้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,121 ราย รักษาหายเพิ่ม 1 ราย รวมรักษาหาย 2,973 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต เท่ากับมีผู้เสียชีวิต 58 คน
ส่วนข้อสงสัยปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศ 0 ราย มาเป็นวันที่ 15 ถือว่าประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัยเเละสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้หรือไม่ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวชี้เเจงว่า ตามหลักการระบาดวิทยาระบุปกติเเล้วจะใช้ระยะเวลาสองเท่าระยะฟักตัวนานที่สุดของโรค ถือเป็นระยะเวลาปลอดภัย สำหรับเชื้อโควิด-19 มีระยะฟักตัวยาวที่สุด 14 วัน นั่นหมายความว่าสองเท่าเท่ากับ 28 วัน หลังจากนั้นหากไม่พบ จะถือว่าเป็นระยะเวลาที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดการเเพร่ระบาดของเชื้อซ้ำใหม่
ขณะที่ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง พบว่าหลายประเทศทั่วโลก เช่น เกาหลีใต้ มีการระบาดระลอกสอง โดยพบจากในผับ บาร์ โบสถ์ ศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งเป็นการระบาดเเบบกลุ่ม ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เเละการพบในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ของประเทศไทยจะตรวจพบ โดยผู้ป่วยไม่ค่อยมีอาการ ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวังไม่ให้มีการเเพร่ระบาดของเชื้อ โดยขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เเละรักษาระยะห่างทางสังคม ต่อไปก่อน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/