ครม.รับทราบมาตรการป้องกันทุจริตนโยบายจัดซื้อสินค้า ‘บัญชีนวัตกรรม’ เผยที่ประชุม ‘ก.คลัง-9 หน่วยงาน’ รับดำเนินการตามข้อเสนอ ‘ป.ป.ช.’ ป้องกันทุจริตฯ รวม 5 ประเด็น ไม่รับพิจารณา 5 ประเด็น
.................................
เมื่อวันที่ 2 ก.ค. นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.นครราชสีมา มีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ หลังจากเมื่อวันที่ 9 เม.ย.2567 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เสนอมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรม ให้ ครม.รับทราบ รวม 11 ประเด็น
สำหรับมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย ที่กระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ดังนี้
@รับข้อเสนอ‘ป.ป.ช.’ป้องกันทุจริต‘บัญชีนวัตกรรม’ 5 ประเด็น
กลุ่มที่ 1 ประเด็นที่หน่วยงานต้องดำเนินการต่อ จำนวน 5 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ 1 การดำเนินนโยบายที่อาจมีอุปสรรค หากในอนาคตประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกความตกลงการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ ความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement Agreement: GPA) และความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกแต่เป็นผู้สังเกตการณ์
โดย ป.ป.ช. เห็นควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และกระทรวงต่างประเทศ (กต.) นำแนวทางที่ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 การขอใช้มาตรการในระยะเปลี่ยนผ่าน เช่น การให้แต้มต่อซึ่งประกาศไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในไทย และแนวทางที่ 2 การระบุข้อยกเว้นสำหรับภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มมธุรกิจเป้าหมายมาใช้ประกอบการขับเคลื่อนนโยบายและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) นำทั้ง 2 แนวทาง ไปใช้ประกอบการพิจารณาเจรจาต่อไป
ประเด็นที่ 2 ปัญหานวัตกรรมไทยไม่มีความชัดเจน โดย ป.ป.ช.เห็นควรให้กำหนดแนวทางในการให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยให้มีความแตกต่างกันตามระดับนวัตกรรมไทยซึ่งอาจจำแนกระดับนวัตกรรมไทยออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่ 1 นวัตกรรมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และระดับที่ 2 นวัตกรรมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและในการจำแนกระดับนวัตกรรมไทย ควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจนและครอบคลุมถึงความเหมาะสมในประเด็นต่างๆ นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำข้อเสนอแนะไปดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สวทช. อยู่ระหว่างศึกษาเรื่องนี้และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และเสนอ ครม. ต่อไป นอกจากนี้ ให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร การจำแนกกลุ่มสินค้าบัญชีนวัตกรรมในรูปแบบที่ทำให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม ความเป็นไปได้ในการกำหนด Local Content ร้อยละ 50 รวมทั้งให้มีแนวทางการตรวจสอบด้วย
ประเด็นที่ 3 ผลิตภัณฑ์และการบริการนวัตกรรมไทยยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากภาครัฐ ป.ป.ช.เห็นควรให้ทบทวนหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น โดยกำหนดแนวทางการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การร่วมกับ สมอ. กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ให้ สวทช. รับข้อเสนอแนะไปดำเนินการโดยให้ประสานกับ สมอ. เพื่อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับสินค้าบัญชีนวัตกรรมไทยที่เป็นสินค้าใหม่ที่ยังไม่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมกับ สวทช. กำหนด มอก. ให้กับสินค้าที่ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ สวทช. อยู่ระหว่างการทบทวนหลักเกณฑ์การตรวจสอบคุณสมบัติผลงานนวัตกรรมครอบคลุมถึงสินค้าที่อยู่ในบัญชีเดิมและสินค้ารายการใหม่ที่กำลังจะขึ้นทะเบียนโดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
ประเด็นที่ 4 ภาครัฐขาดการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทยที่มีประสิทธิภาพ โดย ป.ป.ช.เห็นควรให้กำหนดแนวทางในการติดตามและประเมินผลในเรื่องดังกล่าวให้มีความชัดเจน เช่น แนวทางการติดตามและประเมินผลการใช้งบประมาณภาครัฐในการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุส่งเสริมนวัตกรรม (สงป.) และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) (กรมบัญชีกลาง) เข้าด้วยกัน นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ทุกหน่วยงานเห็นด้วย โดยมอบให้ สวทช. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของสินค้าในบัญชีนวัตกรรมไทย ทั้งในด้านการใช้งานและคุณภาพ
ประเด็นที่ 5 การแข่งขันไม่เป็นไปตามกลไกการตลาดอย่างเป็นธรรมและความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ขายรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ โดย ป.ป.ช.เห็น ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนแนวทางการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมโดยตรงจากผู้ประกอบการที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมนั้น ๆ ได้มีการกำหนดราคาไว้แล้ว
รวมทั้งการให้สิทธิพิเศษแก่หน่วยงานของรัฐในการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อป้องกันไม่ให้นโยบายดังกล่าวเป็นช่องว่างแห่งกฎหมายที่นำไปสู่ความเสี่ยงของการเป็นตลาดผู้ขาย การผูกขาด และการทุจริตเชิงนโยบาย
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ให้ สวทช. ปรับลดระยะเวลาการส่งเสริมสนับสนุนให้เหมาะสมและกำหนดกรอบวงเงินรายได้ ให้สำนักงบประมาณ ปรับปรุงราคาให้เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
@ไม่รับข้อเสนอแนะ 5 ประเด็น-เน้นให้ดำเนินการ 1 เรื่อง
กลุ่มที่ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา จำนวน 5 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ 1 คุณสมบัติของผู้ขายผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติของผู้เสนอราคากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นควรให้กำหนดแนวทางการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้จำหน่ายและผู้แทนจำหน่ายให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับคุณสมบัติของผู้เสนอราคากับหน่วยงานของรัฐก่อนการประกาศขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา เนื่องจากในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีการตรวจสอบการมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่แล้ว ประกอบกับสำนักงาน ป.ป.ช. เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่จะต้องกำชับให้มีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด
ประเด็นที่ 2 ผู้ประกอบการไม่แสดงข้อมูลโครงสร้างราคาต้นทุนของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทย โดย ป.ป.ช.เห็นควรกำหนดแนวทางให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยเพิ่มเติม เช่น การกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแสดงข้อมูลโครงสร้างราคาต้นทุนของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทย โดยมี สงป. เป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาความลับข้อมูล นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่ สงป. ดำเนินการอยู่แล้ว โดยผู้ประกอบการรายใดที่ไม่ยื่นแบบโครงสร้างราคาต้นทุนของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยและเอกสารที่ประกอบที่จำเป็น สำนักงบประมาณจะไม่ตรวจสอบราคา จัดทำและประกาศบัญชีนวัตกรรมไทยจนกว่าจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
ประเด็นที่ 3 ระบบสืบค้นบัญชีนวัตกรรมไทยมีกำหนดชื่อและรหัสผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยไม่ตรงกับชื่อและรหัสสินค้าหรือบริการในระบบ e-GP โดย ป.ป.ช.เห็นควรให้กำหนดแนวทางการปรับปรุงฐานข้อมูลในระบบสืบค้นบัญชีนวัตกรรมไทยของ สงป. ให้มีชื่อและรหัสตรงกับชื่อและรหัสสินค้าหรือบริการในระบบ e-GP ของกรมบัญชีกลาง และในระยะยาวอาจพิจารณาจัดทำหมวดรายการผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยในระบบสืบค้นบัญชีนวัตกรรมไทยให้เป็นรหัสมาตรฐานสากล (UNSPSC) นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา เนื่องจาก (1) การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยของสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางมีความสอดคล้องกันอยู่แล้ว (2) ปัจจุบันระบบ e-GP ของกรมบัญชีกลางรองรับการค้นหารหัสบัญชีนวัตกรรมไทยของ สงป. อยู่แล้ว และ(3) การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ของ สงป. ไม่ได้กำหนดให้ค้นด้วยรหัส UNSPSC แต่สามารถค้นได้ด้วยชื่อผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทยที่ สงป. กำหนด ส่วนการค้นหาในระบบ e-GP สามารถค้นได้ทั้งรหัส UNSPSC และชื่อผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทย
ประเด็นที่ 4 ภาครัฐขาดการซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติงาน โดย ป.ป.ช.เห็นควรกำหนดแนวทางการซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติงานให้กับหน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมไทย เพื่อให้ถือปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา เนื่องจากข้อหารือมีจำนวนน้อยและไม่ซับซ้อน รวมทั้งแนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐไม่ขัดแย้งกับความเห็นของสำนักงาน ป.ป.ช. จึงยังไม่จำเป็นต้องซักซ้อมความเข้าใจในตอนนี้ประกอบกับหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ได้
ประเด็นที่ 5 ปัญหาการทุจริตในการจัดซื้อยาในบัญชีนวัตกรรมไทย โดย ป.ป.ช.เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. ขับเคลื่อนข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เช่น การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมและกฎหมายอื่นที่มีความเกี่ยวข้องให้แก่บริษัทผู้จำหน่ายยาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณา เนื่องจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อย. และสำนักงาน ป.ป.ช. มีการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว โดยมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประกาศ สธ. เรื่อง เกณฑ์จริยธรรมการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2564
กลุ่มที่ 3 ประเด็นที่ควรเน้นให้ดำเนินการ จำนวน 1 ประเด็น
คือ การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดย ป.ป.ช.เห็นควรให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนดแนวทางในการกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติงานตามกฎหมาย ระเบียบ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด นั้น
ที่ประชุมระหว่างกระทรวงการคลังและ 9 หน่วยงาน มีข้อยุติร่วมกันว่า ควรเน้นหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบโดยให้ความสำคัญเรื่องวงเงิน การตรวจสอบหน่วยงานที่ดำเนินการผิดบ่อยครั้ง รวมทั้งควรมีวิธีการรายงานให้ภาคประชาชนทราบด้วย
อ่านประกอบ :
เปิดข้อเสนอแนะ ป.ป.ช. ชงรัฐล้อมคอกจัดซื้อฯ‘สินค้านวัตกรรม’-ชง 4 แนวทางแก้‘ทุจริต-ผูกขาด’