นายกฯมอบนโยบายจัดทำงบประมาณปี 68 เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ 8 เรื่อง ดัน ‘ซอฟต์พาวเวอร์-แลนด์บริดจ์-ดึงดูดลงทุน-การทูตเชิงรุก’ พร้อมย้ำเป้าหมาย 4 ปี จีดีพีต้องโตเฉลี่ยปีละ 5%
......................................
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. เวลา 14.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568
นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ในช่วงการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าในการแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส และดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน
อย่างไรก็ดี ทุกท่านทราบดีว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารในช่วงที่ประเทศประสบความท้าทายในเรื่องความสามารถในการผลิตและการแข่งขัน ปัญหาการส่งออกชะลอตัวลง ภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง ทุกท่านทราบดี รัฐบาลเข้ามาบริหารในช่วงที่ประเทศประสบความท้าทายในเรื่องความสามารถในการผลิตและการแข่งขัน ปัญหาการส่งออกชะลอตัวลง ภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่ที่มีความไม่แน่นอนสูง
การรับมือกับผลกระทบต่างๆ ทั้งจากภัยพิบัติและมลพิษที่รุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ปัญหาสุขภาพที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การเข้าสู่สังคมสูงวัย ปัญหาสวัสดิการภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น จนเป็นภาระการเงินการคลังของประเทศ มีกลุ่มเปราะบางที่ตกหล่น
ภาระหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนพุ่งสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงขึ้น การจัดเก็บรายได้ของรัฐเทียบกับ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราภาษีที่ยังขาดความเป็นธรรม ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และยาเสพติด ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" นายกฯกล่าว
นอกจากนี้ จากข้อมูลพบว่า รายได้ต่อหัวของพี่น้องคนไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ บูรไน มาเลเซีย เราต่ำกว่าเขาตลอด อันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศก็แทบไม่ขยับ แรงงานจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตร มีผลิตภาพต่ำและประสบปัญหาไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน เข้าไม่ถึงระบบชลประทานและแหล่งน้ำ ครัวเรือนเกษตรติดกับดักหนี้ที่เกินศักยภาพที่จะชำระได้
รวมทั้งยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่า และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงต้นปีและปลายปีของทุกปี ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้ง และปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล จึงขอให้ทุกหน่วยงานยึดตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเป็นหลัก
ดังนั้น นโยบายที่ดำเนินการภายใต้รัฐบาลนี้ จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนสบายใจได้ว่า ภาษีของพวกเขาถูกใช้ในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ
นายเศรษฐา ระบุว่า ในด้านเศรษฐกิจ แม้ 4 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นระยะเวลาที่ไม่นาน รัฐบาลก็ได้ดำเนินนโยบายหลายประการบนงบประมาณไปพลางก่อน และอีกหลายนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ โดยนโยบายที่สำคัญด้านเศรษฐกิจจะครอบคลุม 8 กลุ่มย่อย ได้แก่ 1.พลังงาน 2.เกษตร 3.ท่องเที่ยว 4. โครงสร้างพื้นฐาน 5.การดึงดูดการลงทุน 6.การทูตเชิงรุกและการค้าชายแดน 7.Soft Power และ8.ค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเป้าหมายยังชัดเจนเหมือนเดิม เศรษฐกิจประเทศไทย 4 ปีจะต้องโตเฉลี่ย 5% ให้ได้
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในด้านการเกษตรรัฐบาลจะทำให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิมากขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปีนี้ ส่วนในด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลมีเป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท และในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น รัฐบาลจะผลักดันนโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สำเร็จ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 โดยในปี 2567 จะต้องทำค่าแรงขั้นต่ำให้มากกว่า 400 บาทให้ได้ และมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน
สำหรับในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเปิดประตูการค้าสองฝั่งมหาสมุทรทางภาคใต้ และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและคมนาคมที่สำคัญ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานได้ 280,000 ตำแหน่ง และจะทำให้จีดีพีเติบโตขึ้นปีละ 5.5% นั้น ตนขอให้ทุกท่านช่วยกันสนับสนุนและผลักดันไปด้วยกัน
ส่วนนโยบายค่ารถโดยสารไฟฟ้าของประชาชน 20 บาทตลอดสายนั้น ปัจจุบันได้ทำสำเร็จไปแล้ว โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ราคาลงมาเหลือ 20 บาทแล้ว ซึ่งจากนี้ไปกระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าพัฒนาระบบฟีดเดอร์เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงให้มากขึ้น รวมทั้งเดินหน้าทำในส่วนอื่นๆให้สำเร็จด้วย เพื่อทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเกิดขึ้นได้จริงสำหรับประชาชน
นายเศรษฐา กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาลนี้คือการทำ Digital Wallet ให้สำเร็จ แม้ว่าในวันนี้ เราจะเดินหน้าออก พ.ร.บ. กู้เงินก็ตาม แต่ก็ขอให้ไม่ลืมที่จะตั้งงบประมาณเผื่อไว้ ในกรณีที่ต้องใช้พัฒนาและดำเนินโครงการด้วย แต่ขอให้ตั้งอย่างสมเหตุสมผล
"ในปีงบประมาณ 2568 การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายทั้งหมดของรัฐบาลที่ตนเองกล่าวไปนั้น จะต้องอาศัยการทำงานบูรณาการกันเป็นอย่างมาก มีความเชื่อมโยงหลายส่วน การจัดทำงบประมาณ จะต้องขอให้สำนักงบประมาณช่วยคอยดูทั้งตัวชี้วัด งบประมาณที่ขอ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน
และต้องดูรายละเอียดเนื้อหาให้ถี่ถ้วนด้วยว่าตอบโจทย์ของรัฐบาลหรือไม่ ในปีงบประมาณ 2568 จะเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องจากปี 2567 โดยช่วงเวลาการทำงานจะทับซ้อนกัน จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการ เพื่อผลักดันให้การจัดทำงบประมาณตอบโจทย์ความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวว่า ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานสามารถจัดทำคำของบประมาณที่สอดคล้องกับจุดเน้นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 142 ประเด็น สำนักงบประมาณจึงอยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ โดยขยายระยะเวลาการจัดส่งคำขอได้ถึงวันที่ 2 ก.พ.2567 ต่อไป
อ่านประกอบ :
ส่องยุทธศาสตร์งบปี 68 'เพื่อไทย'ดัน'ซอฟต์พาวเวอร์-ผู้ว่าฯCEO' ลุย'ปราบอิทธิพล'-ต่อยอดEEC
รัฐบาลเคาะ 7 แนวทางจัดทำงบปี 68 ยึด‘ยุทธศาสตร์ชาติ-หนุนเศรษฐกิจโต-เลิกโครงการไม่จำเป็น’
เปิดยุทธศาสตร์งบ 67 รบ.'เศรษฐา'ดัน 28 เรื่องด่วน-คาดทูลเกล้าฯ'ร่างพ.ร.บ.งบฯ'เม.ย.ปีหน้า