'อุปกิต' น้ำตานอง ยันไม่เคยเกี่ยวข้องยาเสพติด แจงปมขายหุ้น บ. Allure ให้ชาคริสเป็นความสะเพร่า เหตุมีการผิดเงื่อนไขเลยไม่ได้ขายหุ้น แต่โอนให้ลูกเขยแทน ต่อมา 'พันณรงค์' ซื้อหุ้นต่อปัดเอี่ยวธุรกิจพนันออนไลน์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่รัฐสภา นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้เปิดแถลงข่าวกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวเกี่ยวกับตัวเองและธุรกิจในหลายประเด็น
นายอุปกิต กล่าวยืนยันว่า ตลอดทั้งชีวิตของตัวเองนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด และถ้าหากมีใครหรือว่าสื่อใดมากล่าวหาตรงนี้ ก็จะขอสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้องต่อบุคคลเหล่านี้
ส่วนกรณีการขายกิจการโรงแรม Allure Resort Hotel Tachileik ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มูลค่า 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,672,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 32 บาท) ให้กับนายชาคริส กาจกำจรเดช ตามข่าวที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอไปก่อนหน้านี้
- ตามหา 'ชาคริส' คนซื้อ รร.ท่าขี้เหล็ก 251 ล.จาก 'อุปกิต'-คนในบ้านแจงอยู่เชียงราย
- ‘ผู้รับซื้อ’ รร.ท่าขี้เหล็ก 251 ล.‘อุปกิต’ ถือหุ้น กก. 5 บริษัท – 4 แห่งเลิกกิจการแล้ว
นายอุปกิตกล่าวว่า คนนี้คือผู้ที่ได้เช่า Allure และเป็นหุ้นส่วน15 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท Allure ในช่วงที่ตนได้ทำกิจการโรงแรมนี้
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มีการขายหุ้นโรงแรมนี้จริง นายอุปกิตกล่าวว่า “ยอมรับว่าเป็นความรวดเร็ว และสะเพร่าของผม จริง ๆ แล้วผมต้องการจะขายคุณชาคริส ก่อนที่ผมจะมารับตำแหน่ง ส.ว. ซึ่งจริง ๆ แล้วผมอาจจะคิดผิด เพราะว่าการถือหุ้นหรืออะไรก็แล้วแต่ไม่ได้ผิดกฎหมายเพราะมันอยู่นอกประเทศ แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขาก็ยังเป็นเจ้าของเลย แต่ผมก็ไม่อยากให้มีข้อครหาอะไรก็เลยเซ็นสัญญาซื้อขายไว้กับคุณชาคริส"
"ผมตั้งใจจะขายเขา ง่ายๆ เลย ในสัญญาระบุว่า ถ้าใครคนหนึ่งผิดเงื่อนไขก็ถือว่าโมฆะ ผมไม่ได้ขายให้คุณชาคริส ผมเลยโอนให้ลูกเขยผมเพื่อโอนต่อไป” นายอุปกิตตอบ
เมื่อถามว่าได้มีการขายหุ้นให้กับนายเอ็ดดี้ (พันณรงค์ ขุนพิทักษ์) หรือไม่ นายอุปกิตกล่าวว่า "จริง ๆ แล้วส่วนตัวไม่เคยรู้จักกับนายพันณรงค์คนนี้เลย ตอนหลังก็มาทราบจากสื่อว่านายพันณรงค์ ทำธุรกิจพนันออนไลน์ ก็ทำให้ส่วนตัวถูกชี้นำไปว่ามีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ด้วย"
“เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เขากล่าวหาผม ตัดสินผมไปแล้วว่าผมเอาคอมพิวเตอร์ไปทำไม 15 เครื่องที่เมียนมา แต่ลองคิดตามความเป็นจริงดูว่าสมัยนั้นไฟยังไม่มี อย่าว่าแต่อินเทอร์เน็ตเลยในเมียนมา การเอาคอมพิวเตอร์ไปแค่ไม่กี่เครื่องเพื่อจะไปทำระบบ โต๊ะต้อนรับ ห้องอาหารต่างๆ ไม่ใช่เอาไปทำออนไลน์แต่อย่างใด"
"คราวนี้พอนายเอ็ดดี้เขามีเรื่องมีราวแล้ว เขาหนีไปต่างประเทศ เขายังไม่ทันเข้าไปดำเนินการอะไรเลย เพราะว่าด่านมันปิดเนื่องจากโควิดเกือบ 3 ปี พอผมไม่สามารถขายคุณชาคริสได้ ผมก็โอนแล้วก็เตรียมขายให้คุณเอ็ดดี้ คือผมก็ไม่รู้ว่าธุรกิจออนไลน์นี่มันได้เงินกันมหาศาลหรือไม่ตามข่าวว่าคนนี้มีเงินเป็นพันๆหมื่นๆล้าน"นายอุปกิตกล่าว
นายอุปกิตกล่าวต่อว่า "บางข่าวบอกว่าผมฝากเงินให้คุณเอ็ดดี้ไปฟอกในสลากพลัส อะไรพวกนี้มันข่าวปั้นกันไปหมด ไม่มีความจริงเลย ผมในฐานะเป็น ส.ว. ผมต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังจากที่ผมรับตำแหน่งแล้ว แล้วกลับมาที่คุณเอ็ดดี้ คือเขานั้นน่าจะเงินเยอะ ก็มาซื้อผมด้วยเงินสด แล้วก็บอกว่าจะขอจ่ายผมที่กัมพูชา ผมก็ยังสงสัยอยู่ ตรงนี้ผมก็ถามทุกคนว่าเงินมันเป็นงูหรือเปล่า คนจะเอาเงินมาให้เรา แล้วเราไม่รู้เบื้องหลังของเขา แล้วก็บอกจะจ่ายต่างประเทศที่กัมพูชา แล้วเราจะไม่รับหรือ ธุรกิจผมก็อยู่ในต่างประเทศ อยู่ในเมียนมา การจ่ายเงินของธุรกิจของต่างประเทศ ในต่างประเทศ ไม่ได้มีอะไรแปลกเลย”
นายอุปกิตกล่าวว่า "นายพันณรงค์ไม่ได้ซื้อแบบนี้กับผมคนเดียว เขาไปซื้อกิจการบริษัทอื่น ๆ กับหลายคน เป็นกิจการบนเขามากมาย ก็จ่ายเงินสดทั้งนั้น แล้วก็ไม่ซีเรียสเรื่องสัญญาเลย ซึ่งส่วนตัวก็งงเหมือนกัน"
เมื่อถามว่าได้แจ้งเรื่องเหล่านี้ลงไปในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นให้กับ ป.ป.ช.หรือไม่ นายอุปกิตกล่าวว่า "ได้แจ้งตอนต้นว่าจะขาย แต่ว่าสัญญากับนายชาคริสมันเป็นโมฆะไป จึงได้โอนให้ลูกเขยเพื่อเตรียมขายให้คนอื่นต่อไป"
นายอุปกิตกล่าวยืนยันต่อไปว่า "ขอย้ำว่าหลังจากขายกลุ่มบริษัท Allure นั้น ส่วนตัวก็ไม่สามารถเข้าไปสั่งการอะไรได้แต่อย่างใด "
“คือหลักฐานอะไรที่เห็นจากแชทต่างๆ มันเป็นการปั้น แปลผิด เป็นการใส่ความผมทั้งนั้น ผมยอมรับมาตั้งแต่ต้นในวันที่นายทุน มิน ลัต เขาโดนจับในคดียาเสพติดว่าผมรู้จักเขามาเป็นสิบปีแล้ว ผมมาทำธุรกิจขายไฟฟ้าในบ้านเขา ผมก็ปรึกษาเขา เขามาทำธุรกิจในบ้านผม เขาก็ปรึกษาผม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังแบบนี้ ผมไม่ได้ไปเมียนมามาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว คนที่คุมธุรกิจจริง ๆ ก็ต้องไปมา ผมก็บอกมาตลอดสามารถดูในแชทได้ว่าอย่าไปใช้คนโอนเงิน แต่มันไม่มีทางเลือกเพราะว่าด่านมันปิด ผมก็อธิบายไปแล้วว่ามันไม่สามารถจะมาชำระค่าไฟแบบเดิมได้ด้วยวิธีการเอาเงินไปชำระแคชเชียร์เช็คที่ธนาคารแล้วก็เอาไปจ่าย ถ้าเป็นแบบนั้นได้มันก็ไม่เป็นปัญหา"
"นี่เป็นธุรกิจมูลค่าหลายสิบล้าน เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เปอร์เซ็นต์มันมีแค่ไม่เท่าไหร่ มีไม่กี่บัญชีเองที่ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แล้วเงินนั้นก็เข้าสู่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แล้วแค่นั้น คุณก็จะบอกเลยหรือว่ามันเกี่ยวกับยาเสพติด ทำไมไม่ไปตรวจสอบอีกตั้งกี่ร้อยบัญชี มาตรวจสอบแค่ 5 บัญชีที่มันมีการกระทำผิดด้านยาเสพติด ก็เหมือนกับว่าถ้าผมเปิดร้านอาหาร มีคนมาทานเป็นร้อยคนเลย ปรากฏว่ามี 2-3 คนเอาเงินที่ได้มาจากยาเสพติดมาจ่ายค่าอาหาร พอเดินออกไป 2-3 คนนี้ ก็ถูกตำรวจจับ แล้วตำรวจมาจับร้านอาหารทั้งร้านไปหมดเลย คุณคิดว่ามันถูกต้องหรือไม่” นายอุปกิตกล่าว
เส้นทางการขายไฟฟ้าระหว่าง กฟภ.กับกลุ่มบริษัท Allure ที่ขายไฟฟ้าต่อให้เมียนมา
เมื่อถามถึงบริษัทฟอร์ ทู เฮ้าส์ ที่อยู่ที่ฮ่องกงซึ่งมีการชักเข้าชักออกบริษัท Allure Group
(อ่านประกอบ:แกะรอย‘อัลลัวร์ กรุ๊ป’พันณรงค์!‘อุปกิต’ก่อตั้ง-โอนหุ้นหลายครั้ง บ.ฮ่องกงร่วมถือด้วย)
นายอุปกิตกล่าวว่า "ไม่ได้ชักเข้าชักออก เขาเข้ามาซื้อหุ้น แต่ส่วนตัวจำไม่ได้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์ น่าจะ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ซื้อเสร็จก็ขายคืนมาไม่ได้ชักเข้าชักออก แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวออกไปด้วยว่าถ้าทำการพนันต้องเอาผู้เชี่ยวชาญมาให้หุ้นฟรี มันเป็นแค่การซื้อขายหุ้นตามปกติ แล้วตอนนี้พนักงานสอบสวนเขาก็เรียกทุกคนมาสอบสวนและก็เป็นพยานแล้ว"
นายอุปกิต ยังได้ชี้แจงกรณีที่ลูกเขยถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่ลูกเขยอยู่ที่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านพักของตนเอง และลูกเขยได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว ซึ่งในขณะจับกุม ลูกเขยก็ได้เดินเล่นกับลูก นั่นก็คือหลานของตนเอง
นายอุปกิต ระบุว่า "ถ้าผมเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ลูกเขยคงไม่ต้องอยู่ในคุกมา 7 เดือน เพราะหากตำรวจอยากช่วยผม ก็มีอำนาจจับกุมแล้วประกันตัวได้ และหากจะช่วยกันก็ช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ลูกเขยอยู่ในคุกมา 7 เดือน หลานเล็ก ๆ ของผมก็ร้องไห้ทุกวัน แม่ของหลาน ก็โทรมาร้องไห้ทุกวัน แต่ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย" นายอุปกิตกล่าว
นายอุปกิตกล่าวต่อถึงกรณีการโยกย้ายตำรวจที่จับกุมนายทุมมินลัตว่า ส่วนตัวไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง สั่งหรือกดดันให้มีการโยกย้ายแต่อย่างใด แต่ว่าตำรวจที่ถูกย้ายเป็นการย้ายไปตามวงรอบ และไม่มีผลงานในช่วง 3-4 เดือน มีแค่คดีนายทุนมินลัตคดีเดียว อีกทั้งการย้ายครั้งนี้ เป็นการย้ายไปในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ย้ายเพราะการลงโทษ
"หากผมมีอิทธิพลจริง ก็คงย้ายออกไปไกลๆ ขณะเดียวกัน ตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าตำรวจจะช่วยผม ก็ช่วยตั้งแต่วันแรกแล้วที่มาจับกุมลูกเขยของผม" นายอุปกิตกล่าว
ส่วนที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลออกมาโจมตีว่ามีการออกหมายจับแล้วก็ถอนหมายจับในวันเดียวกัน
นายอุปกิตกล่าวว่า กรณีนี้เนื่องจากมีการตกแต่งคำพูดในแชทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อนำมาปั้นเป็นหลักฐานให้มีความผิด
"กรณีที่มีการกล่าวหาว่าผมนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการทำธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น คงไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า" นายอุปกิตกล่าว
พร้อมระบุว่า ตอนนี้คดีของนายทุนมินลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม แต่กลับมีการนำคดีนี้มาปั้นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่ส่วนตัวไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ของตัวเองเลย จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ
เมื่อถามถึงกรณีที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไปเช่าตึกของนายอุปกิตเป็นที่ทำการพรรค นายอุปกิต กล่าวว่า "เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องการเมืองตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ยอมรับว่าส่วนตัวเป็นเจ้าของตึกที่นายกรัฐมนตรีใช้เช่าอยู่จริง แต่มีคนให้ผมซื้อตึกนี้ไว้ เนื่องจากมีเหตุการณ์โควิด เจ้าของบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้เป็นออฟฟิศแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทที่ผมเคยบริหารของร้องให้ผมซื้อไว้ โดยผมซื้อในราคาตลาด เขาทำยังไม่เสร็จ ผมก็มาจ่ายค่าก่อสร้างต่อ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ผมไม่ได้ทำธุรกิจแล้ว จึงได้เปิดให้เช่า และคนที่มาเช่าตึกนี้คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเช่า ผมไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำพรรคการเมือง เนื่องจากเช่ามา 1 ปีก่อนที่จะมีการจัดตั้งพรรคนี้"
นายอุปกิตสาบานว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดการแถลงข่าวนายอุปกิตได้ร้องไห้ออกมาเป็นระยะ พร้อมกับสาบานตลอดว่า "ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป"
หลังจากการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายอุปกิตได้เดินทางไปยังศาลอาญาเพื่อยื่นฟ้องเอาผิดต่อผู้ที่กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวกับกรณีค้ายาเสพติดและคดีอื่น ๆ ต่อไป
อ่านประกอบ
- ตามหา 'ชาคริส' คนซื้อ รร.ท่าขี้เหล็ก 251 ล.จาก 'อุปกิต'-คนในบ้านแจงอยู่เชียงราย
- ‘โรม’ เปิดปม ส.ว.แจงทรัพย์สิน ป.ป.ช. ปี 62 ส่อเท็จ หลังนิติกรรมขายโรงแรมมีพิรุธ
- ‘ส.ว.อุปกิต’ ฟ้อง ‘ดนัย - อมรรัตน์’ 50 ล้านบาท เสนอข่าวพัน ‘ทุน มิน ลัต’เขียน
- ‘รังสิมันต์’ เปิดแผล ‘ทุนเมียนมา-จีนเทา’ อัด ‘ประยุทธ์’ ละเลยตลอด 8 ปี
- ข้อมูลใหม่! คนรับซื้อ รร.ท่าขี้เหล็ก 251ล. ‘อุปกิต’ส.ว.ที่แท้ผู้ร่วมถือหุ้น บ.อัลลัวร์ กรุ๊ป
- สอบภาษี! ระงับจดทะเบียนเสร็จชำระบัญชี บ.อัลลัวร์ กรุ๊ป กลุ่ม ‘พันณรงค์ ขุนพิทักษ์’
- แกะรอย‘อัลลัวร์ กรุ๊ป’พันณรงค์!‘อุปกิต’ก่อตั้ง-โอนหุ้นหลายครั้ง บ.ฮ่องกงร่วมถือด้วย
- เจาะขุมธุรกิจ ‘พันณรงค์ ขุนพิทักษ์’ ถือหุ้น กก. 7 บริษัท - ‘บลูเคอร์ กรุ๊ป’152 ล.
- ข้อมูลใหม่! ‘พันณรงค์ ขุนพิทักษ์’ ถือหุ้น กก. 7 บริษัท แจ้งใช้ที่อยู่เดียวกับโรงแรม
- โชว์โอนเงินเข้าแบงก์กรุงไทย 278.8 ล.! ไขปม‘พันณรงค์’ถือหุ้น บ.บลูเคอร์ กรุ๊ป 152.8 ล.
- คราวนี้ 30 ล.เข้าแบงก์ กสิกรไทย ‘พันณรงค์ ขุนพิทักษ์’เครือข่ายอัลลัวร์กรุ๊ป
- ส่อง บ.บลูเคอร์ กรุ๊ป ‘พันณรงค์’เครือข่าย‘ทุน มิน หลัด’ ซื้อหุ้น 132 ล.ปริศนา!
- 'อัจฉริยะ' ยื่น ป.ป.ช.สอบ 'อุปกิต' ปมแจ้งบัญชีทรัพย์สินขายโรงแรมท่าขี้เหล็ก
- เปิดตัวนักธุรกิจสปา-อาหารเสริมผู้ซื้อโรงแรมประเทศเมียนมาจาก‘อุปกิต’ 8 ล.ดอลลาร์สหรัฐฯ