'วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์' เผยผลวิจัยวัคซีนไฟเซอร์ พบให้ภูมิคุ้มกันสูงเป็นปีในกลุ่ม ประชากรที่เคยติดเชื้อก่อนหน้านี้แล้วมาฉีดวัคซีน-พบวัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อฉีดให้คนอายุมากกว่า 65 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสว่า วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ของสหรัฐอเมริกาได้มีผลการศึกษาระบุออกมาว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และบริษัทไบออนเท็ค นั้นสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่ผ่านการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้เมื่อเวลาผ่านไป
โดยการศึกษาดังกล่าวนั้นเป็นการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องภูมิคุ้มกันลูกผสม หรือก็คือเมื่อผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนนั้นได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติแล้ว ถ้าหากมาได้รับภูมิคุ้มกันจากวัคซีนอีกผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งหนึ่งในผลการวิจัยที่ดำเนินการในประเทศอิสราเอลพบว่าในกลุ่มของผู้ที่ฟื้นตัวจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การติดเชื้อซ้ำจะมากกว่าถึง 4 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และก็ยังมีโอกาสติดเชื้อมากกว่ากลุ่มที่ผ่านการติดเชื้อไปแล้วและไปรับวัคซีนในเวลาต่อมา
ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาในกลุ่มประชากร 149,000 คน ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการศึกษายังพบด้วยว่าประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์นั้นจะลดลงเมื่อฉีดให้กับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี โดยวัคซีนจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 82 เปอร์เซ็นต์เมื่อฉีดให้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง16-64 ปีและจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์เมื่อฉีดให้กับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนั้นกระทำตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 26 พ.ย. 2564 โดยครอบคลุมการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าในอิสราเอล
ขณะที่ทางด้านของ นพ.เชน โครตตี้ นักไวรัสวิทยาและศาสตราจารย์กับศูนย์วิจัยโรคติดเชื้อและวัคซีนที่สถาบันภูมิคุ้มกันวิทยาลาจอลลา ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่าผลการศึกษานี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลกับการใช้นโยบายให้ผู้ที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อนนั้นได้รับวัคซีนเพียงแค่โดสเดียวในสหรัฐฯ
ส่วน นพ.โรเนน อาร์เบล นักวิจัยผู้นำด้านการศึกษาในเรื่องดังกล่าวที่หน่วยงานให้บริการด้านสุขภาพคลาลิตในประเทศอิสราเอลกล่าวว่าตัวเขาเชื่อว่าหลายๆประเทศควรจะมีการดำเนินนโยบายแบบเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลที่ได้ใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2564 ซึ่งแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเพียงแค่โดสเดียวเป็นระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการติดเชื้อแล้ว
ขณะที่การศึกษาในรายการที่ 2 ที่ดำเนินการในสหราชอาณาจักร พบข้อมูลว่าในบรรดาของผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาก่อน พบว่าการได้ไปฉีดวัคซีนนั้นจะลดการติดเชื้อลงอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 2 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้จะลดลงไปอยู่ที่ 51 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 6 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน ในทางกลับกัน ในกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนหลังจากการติดเชื้อและฟื้นตัวแล้ว พบข้อมูลว่าในกลุ่มนี้จะมีภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลาถึง 1 ปีหลังจากการติดเชื้อและอยู่ที่ประมาณ 6 เดือนหลังจากการได้รับวัคซีน โดยการศึกษาดังกล่าวนั้นเป็นการศึกษาจากผลการวิจัย SIREN ที่ศึกษาในกลุ่มบุคลากรทางสุขภาพ 35,000 คน ระหว่างวันที่ 7 ธ.ค. 2563- 21 ก.ย. 2564 และได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อแบบพีซีอาร์ในทุก 2 สัปดาห์ พบว่าผู้ที่ผ่านการติดเชื้อมาก่อนและมีการฉีดวัคซีนแล้วจะมีการติดเชื้อซ้ำได้น้อยกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แต่อย่างไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันที่ได้มานี้นั้นพบว่าลดลงกว่า 69 เปอร์เซ็นต์เมื่อระยะเวลาผ่านไป 1 ปีหลังจากการติดเชื้อ สื่อให้เห็นชัดเจนว่าการติดเชื้ออย่างเดียวไม่พอสำหรับการมีภูมิคุ้มกันที่ทนทาน
เรียบเรียงจาก:https://edition.cnn.com/2022/02/16/health/hybrid-immunity-studies/index.html