อภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่สาม 'บิ๊กตู่' กางสถิติโควิด ไทยป่วย-ตาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก 'พิจารณ์' ส.ส.ก้าวไกล แฉพิรุธกองทัพเปลี่ยนแปลงงบ 921 ล้านบาท จากซื้อรถใหม่ไปซ่อมรถเก่าอายุ 50 ปี 'พิธา' เปิดเอกสารเบื้องหลังการทูตวัคซีน ระบุรัฐบาลเท'ไฟเซอร์ - โคแวกซ์'ทิ้งลงอ่าวไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2564 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สาม โดยจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 3 ก.ย. รวม 4 วัน และจะลงมติในวันที่ 4 ก.ย.2564
สำหรับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม , นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข , นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน , นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม , นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตามลำดับ
แฉเอกสารเทไมตรีจิต‘ไฟเซอร์’ทิ้งลงอ่าวไทย
เมื่อเวลา 19.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายเบื้องหลังของไทยที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ รวมถึงเส้นทางการเจรจากับวัคซีนไฟเซอร์ โดยนายพิธาอ้างว่า ตนเองได้อ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งโทรเลขระหว่างรัฐบาลกับสถานทูตในประเทศที่มีการผลิตวัคซีนในหลายประเทศ รวมถึงการสื่อสารผ่านอีเมลระหว่างโคแวกซ์กับตัวแทนประเทศไทย ตั้งแต่ช่วง ก.ย.2563 - ธ.ค.2563
นายพิธา กล่าวว่า สำหรับเรื่องการทูตเรื่องวัคซีน หากเคยได้ตามข่าวหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พบว่ามีข้อมูลน่าสนใจอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วง พ.ย.2563 ที่มีผู้เสียชีวิต 60 คน เม.ย.2564 มีคนผู้เสียชีวิต 129 คน และช่วง มิ.ย.2564 มีผู้เสียชีวิต 988 คน
ช่วง พ.ย.2563 ที่มีผู้เสียชีวิต 60 คน เบื้องหน้ารัฐบาลบอกว่าได้ทำงานเต็มที่แล้ว ไม่เคยต้องไปขอวัคซีนจากใคร วัคซีนที่ต้องการเป็นของหายาก ทุกคนแย่งกินซื้อ เป็นตลาดของผู้ขาย ไม่ใช่ของผู้ซื้อ โคแวกซ์ต้องออกเงินไปก่อน วัคซีนเดียวที่มีคือซิโนแวค
“แต่เมื่ออ่านเอกสารเหล่านี้ ผมกล้าพูดเลยว่ารัฐบาลตั้งใจที่จะเทไมตรีจิตวัคซีนที่มีคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทย และผมกล้าพูดด้วยครับว่าแทนที่รัฐบาลจะตามไฟเซอร์ ไฟเซอร์ต้องตามรัฐบาลไทย” นายพิธา กล่าว
25 ส.ค.2563 ไฟเซอร์แจ้งหน่วยงานต่างประเทศของไทยว่าไม่ได้รับการตอบกลับจากกรมควบคุมโรคและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยติดต่อไปตั้งแต่ ก.ค.2563 ขณะที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โทรศัพท์ตามหาซีอีโอไฟเซอร์มากกว่า 30 ครั้ง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบินไปหาซีอีโอไฟเซอร์ด้วยตัวเอง ทุกคนต้องการวัคซีนที่มีคุณภาพและหลายกหลาย แต่รัฐบาลไทยอย่างน้อยที่สุดคือเกียร์ว่าง อย่างมากคือการเฉยเมย ตั้งใจที่จะไม่พิจารณาม้าตัวนี้เลย
“เอกสารแบบนี้ต้องเรียกว่า ล็อคผลม้า ตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทยเต็มๆ ไฟเซอร์ต้องมาตามว่า ตกลงคุณจะเอาหรือไม่” นายพิธา กล่าว
19 พ.ย.2563 หารือกับไฟเซอร์ครั้งที่ 2 บริษัทขอให้ไทยเร่งพิจารณาตัดสินใจโดยเร็วภายในปี 2563 เนื่องจากมีความต้องการสูงทั่วโลก
นายพิธา กล่าวด้วยว่า ต่อมาปรากฎเอกสารการสื่อสารกันระหว่างรัฐบาลไทยกับโคแวกซ์ ที่อ่านจนหมดแล้ว สรุปได้เลยว่า จากอีเมลที่คุยกับโคแวกซ์ เห็นชัดเลยว่าเขาห่วงคนไทยมากกว่ารัฐบาลเสียอีก โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า “อย่างที่ท่านคงจะเข้าใจอย่างไร้ข้อกังขาว่าการที่เราช้าไป 1 วันจะทำให้ประชาชนเสียชีวิตมากแค่ไหน และให้เศรษฐกิจพังพินาศขนาดไหน”
นายพิธา กล่าวต่อว่า เมื่ออ่านเอกสารดังกล่าวแล้วดีใจ กำลังจะถอนตัวไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะคิดว่ารัฐบาลตั้งใจดี แต่ปรากฎว่าเป็นหนังสือโคแวกซ์ส่งมาให้คนไทย ทั้งนี้พบว่า 5 พ.ย.2563 บอกว่าจะประชุมออนไลน์กับโคแวกซ์ 18 พ.ย.2563 โคแวกซ์เขียนมาถาม ติดตามความคืบหน้า จนวันที่ 9 ธ.ค.2563 โคแวกซ์อีเมลมาตามอีกรอบ เพื่อขอคำยืนยันว่าสรุปแล้วไทยจะเข้าหรือไม่เข้าร่วมโคแวกซ์
“ไม่รู้เป็นความตั้งใจที่คุยกันอยู่ดีๆ แล้วผิดปกติวิสัยหรือไม่ อยู่ดีๆก็หายไปเลย เทโคแวกซ์ทิ้งกลางอ่าวไทยอีกรอบหนึ่ง หรือแค่เกียร์ว่าง หรือไม่มีมารยาทในการทำงาน ขณะที่นายกรัฐมนตรีประเทศอื่นทำงานเชิงรุก แต่ประเทศไทยทำงานเชิงรับในขณะที่กำลังจะมีคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล” นายพิธา กล่าว
ช่วง เม.ย.2564 มีคนผู้เสียชีวิต 129 คน เบื้องหน้า ช่วง 22 เม.ย.และ 26 เม.ย.รัฐบาลบอกว่า มั่นใจ มีวัคซีน ชื่นชมคุณภาพ ผลิตได้เยี่ยม และพร้อมส่ง แต่เบื้องหลังการติดต่อทางการทูต 2 วันหลังจากที่พูดว่า มั่นใจและบอกว่าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียน กลับไปขอบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 ล้านโดส อีก 2 วันต่อมา ขอรับเพิ่มอีกเป็น 10 ล้านโดส
“ประเทศนั้นตอบกลับมาว่า ประเทศคุณเป็นประเทศที่ผลิตแอสตร้าเซนเนก้าใช่หรือไม่ แล้วมาขอรับบริจาคทำไม ขอดูกระบวนการผลิตในประเทศคุณหน่อยได้หรือไม่ ซึ่งเราก็ตีเนียน ไม่มีอะไรส่งให้เขา เลยส่ง concept paper กลับไปให้สหรัฐอเมริกา สุดท้ายเขาบอกกลับมา จบแบบนี้ว่า ขอไปบริจาคที่โคแวกซ์” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า ต่อมามีการไปขอวัคซีนอีกสถานทูตหนึ่ง คือ วัคซีนของฝรั่งเศส ซึ่งเขาตอบกลับมาว่าให้ไปขอบริจาคผ่านโคแวกซ์เท่านั้น และนี่คือความเสียหายของรัฐบาลเอง ความเสียหายของประชาชน ที่คิดว่ามีโอกาสได้รับวัคซีนทั้งแอสตร้าเซนเนก้าและของฝรั่งเศส
นายพิธา กล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมาคือเรื่องการไร้เอกภาพของรัฐบาลไทย เบื้องหน้า คือการแลกเปลี่ยนกันระหว่างรองนายกรัฐมนตรี 2 คน ที่คนหนึ่งไม่พอใจที่อีกคนหนึ่งให้ข่าวก่อน แต่เบื้องหลัง คือ คนที่อยู่ในรัฐบาลชุดเดียวกันบูรณาการกันที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ ต้องไปบูรณาการที่ทำเนียบขาว วันที่ 1 มิ.ย.2564 รัฐบาลไทยติดต่อไปยังทำเนียบขาว บอกมิสเตอร์เอ ให้ไปบอกดอกเตอร์บี แล้วให้ไปบอกดอกเตอร์ซี เพื่อให้บอกซีอีโอไฟเซอร์ ยกเว้น one country , one contact policy หรือหนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา เพื่อจะให้สามารถเจรจาได้ทั้ง 2 กระทรวง ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็ งง ว่าทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องตั้งแต่ต้นทาง
“ม้าตัวอื่นเทเขาทิ้ง ไม่อยู่ในสายตา นั่นก็คือสาเหตุที่ม้าเต็งไม่มาตามนัด ม้ามืดเลยกลายเป็นม้าหลัก ซึ่งคือ ซิโนแวค” นายพิธา กล่าว
ทั้งนี้ นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “คราวที่แล้วผมถามคำถามผิด ผมถามว่าให้สภาเลือกระหว่างพลเอกประยุทธ์กับประเทศ แต่ขอถามใหม่ ระหว่างประชาชนกับปรสิตที่กัดกินประเทศของเรา ถามดังๆ ไปถึงประชาชนที่ได้โหวตเลือกเรา ท่านไว้วางใจได้หรือไม่กับระบอบปรสิตแบบนี้ที่กัดกินประเทศไทยอยู่แบบนี้ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐบาล และคนที่รัฐบาลเลือกมาทำงาน”
โยง'ศักดิ์สยาม'เอื้อ'ตัวเอง-ญาติ'ไม่สั่งขับไล่พวกรุกที่เขากระโดง
วันเดียวกันนี้ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยกล่าวหานายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ว่า จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เข้าบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐ เพื่อนำมาเป็นของตนและเครือญาติ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอย่างร้ายแรง ในกรณีที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์อีกด้วย
แฉพิรุธกองทัพ เปลี่ยนงบ 921 ล.จากซื้อรถใหม่ไปซ่อมของเก่า
เมื่อเวลา 14.10 น. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายตอนหนึ่งถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการกองทัพบก ที่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 2 โครงการที่น่าจะมีปัญหา ดังนี้
1.โครงการจัดหาเครื่องบินทั่วไป Gulfstream G500 หรือที่เรียกสั้นๆว่า เครื่องบินวีไอพี เป็นโครงการในปีงบประมาณ 2563 ต่อมาผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงการให้เป็นการซื้อเครื่องบินลำเลียง C-295W
- ข้อมูลที่สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอไปแล้ว
- เจาะลึกเครื่องบินขนส่งวีไอพีรุ่นใหม่ ขส.ทบ. ก่อนประกาศเลื่อนซื้อปี 64 วงเงิน 1.3 พันล.
นายพิจารณ์ กล่าวว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงการตนก็ดีใจ เพราะเคยอภิปรายไว้ว่าโครงการนี้ไม่คุ้มค่า สิ้นเปลืองงบประมาณ แต่เมื่อดูรายละเอียดพบว่าโครงการเปลี่ยน แต่งบประมาณไม่เปลี่ยน เดิมจัดซื้อเครื่องบิน Gulfstream G500 วงเงิน 1,350 ล้านบาท แต่การจัดซื้อเครื่องบินลำเลียง C-295W วงเงิน 1,250 ล้านบาท เกิดส่วนต่าง 100 ล้านบาท จึงขอตั้งสังเกตว่าเงินส่วนนี้หายไปไหน
“เดี๋ยวนายกรัฐมนตรีจะมาตอบว่า ซื้อรอบนี้ไม่เหมือนรอบก่อน แต่มีออฟชั่นเพิ่ม มีอะไหล่ มีการซ่อมบำรุง ผมเรียนเลยว่า ออฟชั่นเพิ่มนี่ตัวดี ตัวฟาดเงินทอนเลยครับ เฉพาะส่วนต่าง 100 ล้านบาทเข้ากระเป๋าใครครับ” นายพิจารณ์ กล่าว
2.โครงการจัดหารถยนต์บรรทุกขนาด 2.5 ตัน จำนวน 169 คัน วงเงิน 921 ล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อปี 2564 แต่ผ่านไป 1 เดือน ผบ.ทบ. คนใหม่เปลี่ยนแปลงโครงการเป็น โครงการซ่อมบำรุงรถ 2 รุ่น คือ รถบรรทุก M35 ขนาด 2.5 ตัน จำนวน 259 คัน วงเงิน 518 ล้านบาท และ รถ UNIMOG ขนาด 1.25 ตัน จำนวน 201 คัน วงเงิน 403 ล้านบาท
- ข้อมูลที่สำนักข่าวอิศรา เคยนำเสนอไปแล้ว
- สตง.แจ้งเปิดตรวจ 'ทบ.' เปลี่ยนแปลงงบซ่อมรถบรรทุกของเก่าแทนซื้อใหม่ 921 ล.
- ล้วงเหตุผล! 'ทบ.' เปลี่ยนแปลงงบซ่อม รยบ.เก่า แทนซื้อใหม่ 921 ล.-ก่อน สตง.ลุยสอบ
นายพิจารณ์ กล่าวด้วยว่า รถทั้ง 2 รุ่นมีอายุมาก 40-50 ปี มีมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม และการซ่อมบำรุงครั้งนี้คือการซ่อมบำรุงที่เหลือแต่โครงรถ ที่เหลือต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยรถบรรทุก M35 ที่กองทัพจะซ่อมเองนั้น ใช้เครื่องยนต์ ยี่ห้อ Cummins รุ่น 6BT5.9 กองทัพตั้งงบประมาณไว้ที่ 7 แสนบาท แต่เมื่อตนตรวจสอบไปที่บริษัท Cummins ประเทศไทย เครื่องยนต์นี้มีราคาอยู่ที่ 3 แสนบาท ทำให้เกิดส่วนต่าง 4 แสนบาทต่อคัน รวมการซ่อมบำรุง 259 คัน จะมีส่วนต่างเกิดขึ้น 100 ล้านบาทโดยประมาณ
นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับที่มาที่ไปก่อนโครงการจัดซื้อรถกลายเป็นการซ่อมรถเก่านั้น กองทัพได้ระบุเหตุผล ว่า อยู่ในช่วงโควิด จัดซื้อไม่ได้ ส่วนการซื้อรถรุ่น KM250 ที่ผลิตในเกาหลีใต้ โดย KIA Motor กำลังหยุดการผลิต หรือยกเลิกการผลิตในปี 2567 เรื่องนี้ตนได้ติดต่อขอพบผู้ช่วยทูตทหารเกาหลีใต้ พบว่า เมื่อวันที่ 14-18 ต.ค.2562 รองเสธ.ทบ.ไปดูงานที่เกาหลีใต้ และเข้าพบกับ ผบ.ทบ.เกาหลีใต้ เพื่อหารือเรื่องรถ KM250 ที่พบว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถ M35 รุ่นที่จะมีการซ่อมบำรุง ต่อมาจึงได้มีการทำหนังสือเพื่อสอบถามราคาและพูดคุยถึงแนวทางการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
กระทั่ง 1 ต.ค.2563 พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 ประกาศใช้ แต่ถัดมา 30 วันหรือวันที่ 30 พ.ย.2563 กองทัพบกมีหนังสือขอเปลี่ยนแปลงโครงการจากการซื้อเป็นการจ้างเอกชนซ่อมรถ M35 ระหว่างนั้นวันที่ 16 ธ.ค.2563 ทูตทหารเกาหลีใต้ได้ทำจดหมายถึงกระทรวงกลาโหม รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เพื่อชี้แจงเรื่องคุณภาพรถ KM250 แต่ไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด จนต่อมาวันที่ 8 มิ.ย.2564 กองทัพทำหนังสือเปลี่ยนแปลงโครงการอีกครั้ง โดยแจ้งว่าจะซ่อมเอง อ้างว่าเพราะโควิด ทำให้ไม่สามารถจัดหาได้ และอ้างว่ารถ KM250 ของเกาหลีใต้จะปลดระวาง ในปี 2567
นายพิจารณ์ กล่าวย้ำว่า กรณีดังกล่าว ตนจึงได้ถามทูตทหารเกาหลีใต้ว่าจะมีการปลดระวางรถจริงหรือไม่ เขาตกใจและว่าไม่เคยมีอยู่ในแผน เกาหลีใต้ไม่เคยปลดระวางรถ KM250 ที่ผ่านมาได้ส่งออกรถรุ่นนี้ไปหลายประเทศ ตนจึงตั้งข้อถามว่า สรุปแล้วกองทัพบกขอเปลี่ยนแปลงโครงการเพราะเหตุผลใด และเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ต้องชี้แจง เพราะมีส่วนต่างไปแล้ว 100 ล้านบาท
“ทีกับเรื่องซิโนแวคกลัวเหลือเกินกับการกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่แบบนี้กองทัพเอาเสียเอง โกหกแบบนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างมาก”
นายพิจารณ์ กล่าวถึงโครงการซ่อมบำรุงรถ UNIMOG ขนาด 1.25 ตัน จำนวน 201 คัน วงเงิน 403 ล้านบาท ด้วยว่า เท่าที่ตรวจสอบพบว่า กองทัพบกเคยซื้อ รถยี่ห้อ TATA ประเทศอินเดีย ขนาด 1.25 ตัน เคยปรากฎเป็นข่าวว่าจะเอามาทดแทนรถ UNIMOG มีราคาอยู่ที่ 2.2 ล้านบาท แต่โครงการซ่อมบำรุงรถ UNIMOG ครั้งนี้ แจ้งค่าซ่อมไว้ที่ 2 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าหากเพิ่มเงินอีก 2 แสนบาทเราจะได้รถใหม่ ไม่ต้องซ่อมรถเก่า
นายพิจารณ์ กล่าวย้ำต่อด้วยว่า กรณีดังกล่าวเมื่อดูทีโออาร์แล้ว ตั้งข้อสังเกตว่ามีการเอื้อผลประโยชน์หรือไม่ เพราะข้อ 2.16 กำหนดว่า ผู้ยื่นข้อเสนอต้องเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างซ่อมยานพาหนะทางทหารและต้องได้รับการเชิญชวนจากศูนย์ซ่อมสร้างของกองทัพบก หมายความว่า ถ้าเชิญรายเดียว รายนั้นก็ได้เลย ส่วนข้อ 3.2 (2) กำหนดว่า ผู้ยื่นฯต้องได้รับการแต่งตั้งให้สามารถจำหน่ายชิ้นส่วนซ่อมรถยนต์สงครามชนิดช่วยรบ ตระกูล MERCEDES BENZ ให้กับทางราชการได้ นี่คือการล็อกสเปกและกำหนดทีโออาร์ที่น่าเกลียดมาก เพราะเรากำลังหาคนซ่อมรถ แต่ไปกำหนดทีโออาร์ว่าต้องได้รับการแต่งตั้งให้จำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่
นายพิจารณ์ กล่าวย้ำว่า การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนซ่อมรถ UNIMOG ผิดทั้งระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ที่ระบุไว้ว่า หากซ่อมแล้วมีราคาเกิน 65% ของราคาซื้อใหม่ และผิดทั้งนโยบายของ ผบ.ทบ.คนใหม่ที่วางนโยบายไว้ ระบุในเอกสารลับปกแดง หน้า 12 ข้อ 2.3.10 ระบุว่า ดำเนินการพิจารณาปลดประจำการ หรือจำหน่ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ใช้งบซ่อมบำรุงและดำรงสภาพสูง รวมถึงรถยนต์สายขนส่งทุกประเภทที่เก่าล้าสมัย หมดอายุ ไม่มีความคุ้มค่า จึงสรุปว่าโครงการรถบรรทุก อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง , ผิดระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ และทำให้ชาติเสื่อมเสียชื่อเสียง
นายพิจารณ์ ยังอภิปรายถึงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ เกี่ยวกับการจัดหาเครื่องบินฝึกฝูงใหม่ ต้นแบบรุ่น T-50TH จากเกาหลีใต้ จำนวน 14 ลำ มีการผูกพันงบประมาณ 2558-2567 แบ่งเป็น 4 ระยะ โดยห้วงเวลาที่เกิดโครงการนี้เกิดขึ้นในยุคที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม พบว่าการจัดซื้อ 4 ระยะมีความผิดปกติ ดังนี้
-
ระยะแรก ปี 2558 ซื้อ 4 ลำ ลำละ 25.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
-
ระยะสอง ปี 2560 ซื้อ 8 ลำ ลำละ 29.54 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
-
ระยะสาม แจ้งว่าเป็นการซื้ออะไหล่
-
ระยะที่สี่ ลงนามเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2564 ซื้อ 2 ลำ ลำละ 31.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายพิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตงว่า ระยะเวลาการจัดซื้อผ่านไปเพียง 6 ปี จากระยะแรก จนถึงระยะสี่ เราซื้อแพงขึ้นจากครั้งแรก 23% คิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 1,315 ล้านบาท ทั้งนี้ยังพบว่า ราคาอะไหล่และเครื่องยนต์แพงขึ้นจากการซื้อครั้งแรก 34% รวม 18 รายการ และมีอีก 1 รายการแพงขึ้น 31% ตั้งข้อสังเกตว่าราคาไม่ได้แพงด้วยกลไกการตลาด แต่เป็นการแพงด้วยวิธีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ จึงอยากให้พลเอกประวิตร ขึ้นมาตอบคำถามว่าใครได้ประโยชน์และจะรับผิดชอบอย่างไร
“การเพิ่มขึ้นเชิงคณิตศาสตร์แบบนี้ ทั้งพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรน่าจะคุ้นเคย ท่านน่าจะเรียนเลขเก่งและคุ้นเคยกับการคิดเปอร์เซ็นต์แบบนี้ เพราะเคยเป็น ผบ.ทบ.มาแล้วทั้งคู่” นายพิจารณ์ กล่าว
รมช.กลาโหม แจงปรับปรุงรถคุ้มกว่าซื้อใหม่
พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวชี้แจงว่า การจัดหาเครื่องบินลำเลียงขนาดกลางที่ว่ามีส่วนต่าง 100 ล้านบาท ขอเรียนว่า เมื่อปรับเป็นการจัดหาเครื่องบินลำเลียง C-295W เป็นเครื่องบินเอนกประสงค์ ที่มีวงเงิน 1,272 ล้านบาทเศษ ไม่มีส่วนต่าง เพราะเบิกงบประมาณตามกรอบที่ได้รับอนุมัติ
ส่วนโครงการซ่อมปรับปรุงรถ 2.5 ตัน M35 กองทัพบกได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รถจำนวนที่มีอยู่ 2,600 กว่าคัน ได้ชำรุดประมาณ 1 พันคันเศษ จะทำอย่างไรที่จะปรับปรุง เดิมทีมีโครงการที่จะจัดหาคันใหม่ แต่ในขั้นตอนการจัดหาจะมีการคัดเลือกแบบด้วย ต้องใช้ระยะเวลา สถานการณ์อาจไม่เอื้ออำนวย กองทัพบกจึงมีแนวความคิดที่จะปรับปรุงรถที่มีอยู่ เพื่อให้ใช้งานได้ต่อไปอีก 10 ปี
ส่วนการดำเนินการ เป็นไปตามที่ได้มีการอภิปรายไว้ว่า ให้หน่วยของสรรพวุธเป็นผู้ปรับปรุงในวงเงินคันละ 2 ล้านบาท โดยในการดำเนินการมีการจัดทำรถต้นแบบ เพื่อเป็นมาตรฐาน และได้มีคณะกรรมการของกองทัพบกได้ไปทดสอบ ทดลองใช้ สามารถใช้งานได้ดี แล้วก็ได้ดำเนินการมาแล้วถึง 100 กว่าคัน จึงมีแนวความคิดที่จะปรับปรุง เพื่อยืดอายุการใช้งาน ทำให้จากเดิมจัดหารถใหม่ 169 คัน เปลี่ยนเป็นซ่อมบำรุงรถได้ 259 คัน ทำให้ทดแทนหน่วยที่ขาดอัตราได้อย่างมาก
สำหรับรถ UNIMOG หากจัดหาใหม่ในตอนนี้ประมาณคันละ 8.2 ล้านบาท ในการดำเนินการกองทัพบก คิดว่าหากปรับปรุงได้อีกจำนวน 201 คัน หากเปรียบเทียบรถประเภทอื่นในแนวเดียวกัน UNIMOG มีขีดความสามารถในปฏิบัติการภูมิประเทศที่ยากลำบากและตอบสนองภารกิจได้มากกว่ารถนายพิจารณ์ได้กล่าวถึง
อย่างไรก็ตามการดำเนินการตรงนี้ พลเอกประยุทธ์ ได้กำชับว่าให้คำนึงถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้และต้องมีประสิทธิภาพ โดยการปรับปรุงเป็นการจัดหาชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีในประเทศเป็นหลัก นอกจากจะเสริมสร้างอุตสาหกรรมในประเทศยังสามารถจัดหาได้ในทั่วไปอีกด้วย
ส่วนการจัดหาเครื่องบิน T-50TH ที่ได้มีการจัดหามาแล้วบอกว่ามีระยะที่ 4 นั้นมีมูลค่าเกินความเป็นจริง ขอเรียนว่า สาเหตุที่มีราคาสูง เพราะการจัดหาในระยะที่ 4 มีการเพิ่มอุปกรณ์สนับสนุนการบินให้เครื่องบินมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น มีการจัดหาเครื่องยนต์สำรองเพิ่มเติม ที่สำคัญได้เพิ่มขีดความสามารถของระบบอาวุธที่แม่นยำ ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น
จี้กางหลักฐานจ่ายเงินซื้อ ‘ซิโนแวค’ 5 ครั้ง
ตั้งแต่เวลา 09.00 น. นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่สภา แจ้งว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 วันได้ใช้เวลาไปแล้ว 25 ชั่วโมง 47 นาที แบ่งเป็น พรรคร่วมฝ่ายค้าน 21 ชั่วโมง 29 นาที เหลือ 18 ชั่วโมง 30 นาที พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลใช้ 29 นาที เหลือ 2 ชั่วโมง และคณะรัฐมนตรีใช้ 2 ชั่วโมง 55 นาที ส่วนประธานสภาฯเวลา 53 นาที
จากนั้น น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนแรก ระบุตอนหนึ่งถึงการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ว่า สิ่งที่พลเอกประยุทธ์และนายอนุทิน ต้องตอบประชาชนคือ การจัดซื้อซิโนแวคมีเงินทอนหรือไม่ การออกมาชี้แจงว่าฝ่ายปฏิบัติเจรจาได้ราคาถูกกว่าเดิมคงไม่เพียงพอ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติซื้อ 5 ครั้ง ระบุตัวเลข 17 เหรียญสหรัฐฯ แต่ราคาขายให้ไทยลดลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่ 8.5 เหรียญสหรัฐฯ แบบนี้จะไม่ให้ประชานสงสัยได้อย่างไรว่าไม่มีส่วนต่าง เพราะ ครม.ยังอนุมัติวงเงินเกินจริง ดังนั้นขอให้นำหลักฐานมาแสดงในสภา ว่าการจ่ายเงินที่กรมควบคุมโรค ต้องจ่ายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อซื้อซิโนแวคทั้ง 5 ครั้งเป็นจำนวนเท่าไร
“การชี้แจงเพียงว่าเงินที่เหลือจะถูกโอนเข้างบประมาณแผ่นดินต่อไป เป็นคำตอบที่ง่ายเกินไป ถ้าวันนี้พลเอกประยุทธ์และนายอนุทินตอบไม่ชัดเจน จะฟันธงว่าพวกท่านทุจริต ความตาย หากกินบนซากศพ คราบน้ำตาของประชาชน แล้วรอพรรคเพื่อไทยยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้เลย” น.ส.จิราพร กล่าว
โชว์สถิติ ไทยป่วย-ตายจากโควิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก
เมื่อเวลา 10.50 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวชี้แจงว่า ประเด็นวัคซีน เราได้มีแผนดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 ขณะนั้นยังไม่มีการรับรองหรือทดสอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนของโลก ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) มีการรับรองเพียง 7 ยี่ห้อ ส่วนเรื่องตลาดวัคซีน เป็นตลาดของผู้ขาย ไม่ใช่ของผู้ซื้อ ขอให้ระมัดระวังในการพูดจาด้อยค่า ถ้าถึงเวลาจำเป็นหรือเวลาสุดท้ายประเทศเขาไม่อนุญาตให้นำเข้ามาจะทำอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเกิดอะไรขึ้น และปัจจุบันได้ฉีดวัคซีนที่ท่านด้อยค่าไปจำนวนมาก ลดอัตราการป่วยและตายไปมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ส่วนของไทยถือว่าโชคดีที่มีการเลือกโรงงานในประเทศเราเป็นฐานการผลิตแอสตร้าเซนเนก้า ไม่เกี่ยวกับอะไรเลย เป็นเรื่องของการทำงาน เรื่องของความร่วมมือ สำหรับกระจายในกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้เรามั่นใจว่าวันนี้อาจจะยังน้อยอยู่ แต่เราได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมา วันหน้าเราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ไปพัฒนาวัคซีนอื่น หรือพัฒนายา เวชภัณฑ์อื่นที่เราดำเนินการมาโดยตลอด เพื่อกระจายไปยังประชาชนและตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน การเลือกตัดสินใจจะให้ใครผลิตเป็นการตัดสินใจของบริษัท ไม่ใช่รัฐบาล หลายคนนำมาพูดจาให้เกิดความเสียหาย คงต้องใช้ความระมัดระวัง
การที่รัฐบาลเลือกเจรจาซื้อวัคซีนโดยตรงจากแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อใช้เป็นวัคซีนหลักในประเทศ เสริมด้วยซิโนแวค และมีวัคซีนทางเลือกที่จะเข้ามาอีกหลายยี่ห้อ สามารถนำเข้าได้โดยภาคเอกชนแต่ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ด้วยหลักฐานที่ผ่านการอนุมัติจากบริษัทแม่ให้เป็นผู้ตัวแทนจำหน่ายในไทย
“บางครั้งมีราคาสูง เป็นเรี่องของผู้ขาย เมื่อวานมีการกล่าวอ้างว่าราคาเท่านั้นเท่านี้ นั่นเป็นการอนุมัติกรอบวงเงิน เมื่อเขาจะขายเท่าไร ลดราคาเท่าไรก็เบิกงบประมาณมาเท่านั้น รัฐบาลไม่ได้นำ 17 เหรียญสหรัฐฯให้กับกระทรวงสาธารณสุข ขอย้ำตรงนี้ ถ้าท่านเอาทุกอย่างมารวมกันมั่วไปหมดจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 31 ล้านโดส เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน เป็นอันดับที่ 25 ของโลก ส่วนการไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ (COVAX) ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วนเพื่อดูผลได้ผลเสีย เพราะไทยอยู่ในกลุ่มที่ต้องสั่งซื้อวัคซีนเอง ช่วงเวลานั้นต้องวางมัดจำวงเงินสูง กำหนดเวลารับวัคซีนไม่ได้ และวันนี้โคแวกซ์ยังจ่ายวัคซีนไม่ได้ตามที่ต้องการ เลือกวัคซีนเองก็ไม่ได้ และปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงกติกาหลายอย่าง เราก็พิจารณาเข้าร่วมได้หากมีความพร้อมในหลายเรื่อง
พลเอกประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับซิโนแวคเป็นวัคซีนเชื้อตายที่ชาวโลกใช้กันมาเนิ่นนาน คุ้นเคยกันดีเหมือนวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ จนมาถึงวัคซีนป้องกันโควิดในปัจจุบัน มีผลข้างเคียงน้อย อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ไม่มีอันตรายมากนัก สามารถสั่งซื้อและส่งได้ตามจำนวนตามที่เราต้องการ โดยซิโนแวคจะใช้ในการฉีดไขว้กับแอสตร้าเซนเนก้า สามารถสร้างภูมิในระยะเวลาที่สั้นกว่า
“การด้อยค่าวัคซีนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การที่เราพูดวันนี้ ด้อยค่าคนนู้นคนนี้ แล้วพูดในเรื่องที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง พรุ่งนี้ก็อาจเป็นข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ในประเทศผู้ผลิตวัคซีน มันก็จะมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกเยอะแยะ ขอให้ใช้วิจารณญาณและภูมิปัญญาอย่างมาก ทุกคำพูดที่กล่าวไปท่านจะต้องมีความรับผิดชอบ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สำหรับความสำเร็จในการรับมือเดลต้า ผลจากการปรับมาตรการตั้งแต่ ก.ค.-ส.ค. มีคนหายป่วยกลับบ้านสูงขึ้นกว่าผู้ป่วยรายใหม่ตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. ส่วนคนรักษาในโรงพยาบาลลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 8 หมื่นรายเหลือ 1.4 หมื่นรายในวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ถือว่ามาตรการมีประสิทธิภาพพอสมควร การรอจัดสรรเตียงผ่อนคลายลงอย่างมาก
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี 8 เดือน ไทยรับมือการระบาดได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก แต่ก็ไม่ดีอย่างที่ทุกคนต้องการได้ แต่ขอให้พิจารณาข้อมูล เชิงสถิติเพื่อประมวล วิเคราะห์และได้ข้อสรุป โดยการติดเชื้อและอัตราการตายสะสมต่อประชากร 1 ล้านคน ทั่วโลกติดเชื้อ 217 ล้านคนคิดเป็นอัตราการติดเชื้อ 2.8% เสียชีวิตเกือบ 4.5 ล้านคนหรือ 2.1% ของผู้ติดเชื้อ ส่วนไทย อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 1.8% อัตราการตายอยู่ที่ 0.96%
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสำคัญ ในส่วนของการติดเชื้อสะสมต่อประชากร 1 ล้านคน พบว่า ข้อมูล ณ วันที่ 30 ส.ค. ไทยติดเชื้อ 16,548 คน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 27,848 คน และต่ำกว่าประเทศหลักที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเป็นจำนวนมาก เช่น อิสราเอล ติดเชื้อ 118,979 คน สหรัฐอเมริกา 116,427 คน สหราชอาณาจักร 98,669 คน และเราเรายังไม่พอใจ ต้องลดให้ได้มากที่สุดต่อไป
ตัวเลขการเสียชีวิตสะสมต่อประชากร 1 ล้านคน ประเทศไทย อยู่ที่ 155 คน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก 549 คน ต่ำกว่าประเทศหลักที่มีอัตราการฉีดโมเดอร์นา เช่น สหราชอาณาจักร 1,945 คน สหรัฐอเมริกา 1,917 คน อิสราเอล 791 คน ประเทศเหล่านี้ก็ยังหยุดไม่ได้เหมือนกัน
“สรุปไทยมีอัตราการตายที่ต่ำมาก เราต้องทำให้ไม่ตาย ผมเห็นใจกับทุกคนนะครับ แต่เราต้องมองโลกภายนอกเขาด้วย หากมองแต่ตรงนี้ ตีกันตรงนี้ อะไรที่จะทำใหม่ๆ ก็ทำไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร ก็คงต้องช่วยกันรับผิดชอบ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า กว่า 99% ของตัวเลขในปัจจุบัน เกิดในช่วงระบาดหนักหน่วงในช่วง 5 เดือน เม.ย.-ส.ค. ที่เป็นการระบาดของเดลต้าที่หนักหน่วงทั่วโลก อย่างไรก็ตามอัตราการตายของไทยถือว่าต่ำคิดเป็น 0.9% และอัตราการหายป่วยกลับบ้านคิดเป็น 80% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดตลอด 20 เดือน
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขเชิงสถิติกับประเทศที่มีประชากร 65-70 ล้านคนใกล้เคียงกับไทย แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะมีสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีกว่าไทย มีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และมีการฉีดวัคซีนครอบคลุม 70% ก็ไม่อาจต้านความรุนแรงของโควิดได้เช่นกัน คือ สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศส มีการอัตราการติดเชื้อมากกว่าไทย 6 เท่า และมีอัตราการตายมากกว่า 18 เท่า
ข่าวประกอบ
-
อภิปรายไม่ไว้วางใจ : ส.ส.ก้าวไกลแฉปฏิบัติการไอโอ ปกป้องนายกฯ-ด้อยค่ากลุ่มเห็นต่าง
-
อภิปรายไม่ไว้วางใจ : อัด'บิ๊กตู่-อนุทิน'ล้มเหลวจัดหาวัคซีน-จับตา ส.ค.ได้แอสตร้าฯเท่าไร
-
อภิปรายไม่ไว้วางใจ : โยง'ศักดิ์สยาม'เอื้อ'ตัวเอง-ญาติ'ไม่สั่งขับไล่พวกรุกที่เขากระโดง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/