"...สำหรับชาวจีนในยุคนั้น การหลุดพ้นจากการเป็นลูกจ้างต้องมี “ตราประทับชื่อ” (chop) ซึ่งต้องใช้เงินทุนอย่างน้อย 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อจดทะเบียนเปิดร้านขายของชำขนาดเล็ก แต่ชอร์ อี ใช้เวลาเพียง 5 ปี ในการเก็บเงินจากรายได้ค่าตัดผมเดือนละประมาณ 32 ดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี ค.ศ. 1890 เขาสามารถเปิดร้านขายของชำเป็นของตัวเองได้ ชื่อว่า Chop Ban Hin Lee (หมื่นความรุ่งเรือง) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองปีนัง บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวจีนที่หาเช้ากินค่ำ ต้องซื้อทุกอย่าง ไม่สามารถปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ได้เหมือนตอนอาศัยอยู่ในประเทศจีน แม้จะเป็นร้านเล็กพื้นที่คับแคบ แต่มีสินค้าครบครัน ตั้งแต่ข้าวสาร น้ำตาล แป้ง สบู่ ไปจนถึงเทียนไข โดยเขาและลูกจ้างอีกหนึ่งคนอาศัยอยู่ชั้นสอง ทำให้ร้านเปิดบริการได้ตลอดเวลา แม้ยามดึกดื่น ลูกค้าสามารถเคาะประตูหรือเรียกซื้อของได้..."
เยียบ ชอร์ อี (Yeap Chor Ee) เริ่มต้นชีวิตด้วยการเดินเท้ากว่า 100 กิโลเมตรจากบ้านเกิดเพื่อขึ้นเรือสู่ปีนังด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า ด้วยวัยเพียง 17 ปี และมีเงินติดตัวเพียงไม่กี่เพนนี เขาเลือกเป็นช่างตัดผม ตระเวนให้บริการแก่ชาวจีนโพ้นทะเลที่นิยมโกนผมและไว้เปีย แม้รายได้จะมากกว่างานรับจ้างทั่วไป แต่ชอร์ อี มีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
สำหรับชาวจีนในยุคนั้น การหลุดพ้นจากการเป็นลูกจ้างต้องมี “ตราประทับชื่อ” (chop) ซึ่งต้องใช้เงินทุนอย่างน้อย 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อจดทะเบียนเปิดร้านขายของชำขนาดเล็ก แต่ชอร์ อี ใช้เวลาเพียง 5 ปี ในการเก็บเงินจากรายได้ค่าตัดผมเดือนละประมาณ 32 ดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี ค.ศ. 1890 เขาสามารถเปิดร้านขายของชำเป็นของตัวเองได้ ชื่อว่า Chop Ban Hin Lee (หมื่นความรุ่งเรือง) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองปีนัง บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวจีนที่หาเช้ากินค่ำ ต้องซื้อทุกอย่าง ไม่สามารถปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ได้เหมือนตอนอาศัยอยู่ในประเทศจีน แม้จะเป็นร้านเล็กพื้นที่คับแคบ แต่มีสินค้าครบครัน ตั้งแต่ข้าวสาร น้ำตาล แป้ง สบู่ ไปจนถึงเทียนไข โดยเขาและลูกจ้างอีกหนึ่งคนอาศัยอยู่ชั้นสอง ทำให้ร้านเปิดบริการได้ตลอดเวลา แม้ยามดึกดื่น ลูกค้าสามารถเคาะประตูหรือเรียกซื้อของได้ [1]
ด้วยความที่เคยเป็นช่างตัดผมมาก่อน ชอร์ อี จึงรู้จักผู้คนในละแวกนั้นดี ลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย นอกจากนั้น เขายังเปิดโอกาสให้ซื้อเชื่อโดยไม่เคยทวงหนี้ สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งผลให้รายได้ของร้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าร้านขายของชำทั่วไปเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น ชอร์ อี จึงปรับกลยุทธ์หันมาขายน้ำตาลทรายแดงจากเมืองเวสลีย์ ซึ่งมีคุณภาพดี และจุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้พบกับอึ๊ย เตียง ฮัม (Oei Tiong Ham) เจ้าพ่อธุรกิจน้ำตาลทรายขาวจากเกาะชวา ซึ่งเลือกให้ชอร์ อี เป็นผู้นำเข้าน้ำตาลแต่เพียงผู้เดียวด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด แต่มีผู้เล่าว่า เป็นเพราะชอร์ อี แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ โดยจ่ายเงินครบทุกครั้งแม้ไม่ได้รับบิลทันที
ธุรกิจน้ำตาลกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายกิจการ ชอร์ อี เริ่มรับซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ข้าวจากพม่าและสยาม ดีบุกจากภูเก็ต และยางพาราจากมาเลเซียและเกาะชวา มีโกดังเก็บสินค้าและเรือขนส่งเป็นของตัวเอง
แม้ไม่เคยเรียนหนังสือและเขียนชื่อตัวเองไม่ถูก แต่ชอร์ อี มีความเฉลียวฉลาดทางธุรกิจ เขาจำข้อมูลได้แม่นยำ ทั้งเงินสด สต๊อกสินค้า และหนี้ของลูกค้า พร้อมเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาซื้อดีบุกเก็บไว้ในโกดังในราคาต่ำ และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ราคาดีบุกพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่า ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีดีบุกในเวลาไม่นาน
ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี ชอร์ อี กลายเป็นเศรษฐีหนุ่มวัย 30 ปี และเริ่มเข้าสู่ธุรกิจการเงิน โดยปล่อยกู้ให้กับนักธุรกิจจีนในปีนัง จนสามารถก่อตั้งธนาคารท้องถิ่นแห่งแรกของเมืองในปี ค.ศ. 1914 ชื่อว่า Ban Hin Lee Bank โดยยังคงยึดหลักความไว้วางใจ เช่น เปิดธนาคารให้บริการแม้ในวันหยุดหรือนอกเวลาทำการ
พนักงานธนาคารกว่า 50 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวฮกเกี้ยนจากหมู่บ้านเดียวกัน แม้เงินเดือนจะไม่สูง แต่มีโบนัสปลายปี 1–2 เท่าของเงินเดือน เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เริ่มจากชาวจีน เพื่อให้ผลตอบแทนพนักงาน
สะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทและผลงานของแต่ละคน ทำให้พนักงานสามารถปลดหนี้ได้ก่อนขึ้นปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการครบครัน ทั้งที่พัก เสื้อผ้า บริการตัดผม และอาหารกลางวันจากคฤหาสน์ของเขา

ในด้านครอบครัว เมื่อชอร์ อี เข้าสู่วัยเบญจเพส ได้แต่งงานกับหญิงจากหมู่บ้านเกิดตามธรรมเนียมชาวจีนโพ้นทะเล และต้องการตอบแทนพระคุณบุพการี จึงคอยส่งเงินให้ภรรยาเพื่อดูแลญาติ ๆ ต่อมาเขามีภรรยาเพิ่มอีก 3 คน โดยคนสุดท้ายคือเช็ง กิน (Cheng Kin) อายุเพียง 15 ปี ซึ่งดูแลเขาและครอบครัวจนวาระสุดท้าย
แม้จะมัธยัสถ์ แต่ชอร์ อี เป็นคนแรกที่นำรถยนต์เข้ามาในปีนัง เป็นรถ Daimler สีดำจากอังกฤษ จอดไว้ใจกลางเมือง เป็นที่สังเกตของชาวเมือง แต่เลือกเดินทางในเมืองด้วยรถม้า นอกจากนั้น เขายังซื้อคฤหาสน์ “Homestead” บนพื้นที่ 4 เอเคอร์ริมถนน Northam ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านอยู่จนถึงปัจจุบัน ชอร์ อี ได้รับฉายาว่า “The King’s Chinese” จากการเป็นผู้ใหญ่ใจบุญ โดยเฉพาะการบริจาคเพื่อการศึกษา เขาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมาลายา แม้ไม่เคยมีโอกาสเรียนหนังสือแต่เขาเชื่อในคำกล่าวของโฮเรซ แมนน์ (Horace Mann) ว่า “การศึกษาเป็นวงล้อสำคัญที่จะสร้างความเท่าเทียมให้กับสังคม”
ชอร์ อี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1952 ด้วยวัย 83 ปีจากโรคปอดบวมทิ้งบทเรียนชีวิตอันทรงคุณค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อตอนอายุ 67 ปีว่า “ความสำเร็จของเขามาจากความมัธยัสถ์ ขยัน ทุ่มเท และซื่อสัตย์” ขณะที่เหลนสาว แดริล เยียบ (Daryl Yeap) ผู้เขียนชีวประวัติของเขาได้กล่าวไว้ว่า “สำหรับคุณทวด ชอร์ อี เงินเป็นเพียงทางผ่าน เพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิตที่ตั้งไว้” (money was only ever a means, never an end)
อ่านเพิ่มเติม : ชาวจีนโพ้นทะเล: The King’s Chinese
แหล่งที่มา:
[1] Daryl Yeap, The King’s Chinese, Strategic Information and Research Development Center, 2019
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณ คุณประภาศรี รงคสุวรรณ แนะนำหนังสือเล่มนี้เพื่อนำมาใช้เขียน Weekly Mail

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา