
"...เมื่อชอร์ อี เติบโตเป็นวัยรุ่นอายุได้ 17 ปี เขาและเพื่อน ๆ เริ่มได้ยินเรื่องราวของชาวจีนโพ้นทะเลที่หนีไปตายเอาดาบหน้า ตั้งรกรากในหนานยาง และเมื่อเขาได้รับการทำนายทายทักจากพระในวัดที่เขานับถือให้เดินทางไปทางตอนใต้ตามพรหมลิขิตที่ถูกกำหนดไว้ พร้อมกับฝันว่าได้เจอรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมในดินแดนใหม่ ทำให้เขาไม่รีรอ ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปแสวงโชคยังดินแดนห่างไกล..."
เวลาเราไปท่องเที่ยวต่างแดน เรามักจะถามหาร้านอาหารจีนในช่วงเวลาที่เริ่มเลี่ยนอาหารฝรั่ง และไม่เคยผิดหวัง เพราะสามารถเสาะหาร้านอาหารจีนได้แทบทุกมุมเมืองในโลกใบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเมืองใหญ่ ๆ ที่มี “ไชน่าทาวน์” แหล่งทำมาค้าขายและที่อยู่ของชาวจีนตั้งอยู่เป็นหลักแหล่ง โดยที่ชาวจีนได้อพยพกันมาจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ถือเป็นชาวจีนโพ้นทะเลหรือที่ถูกขนานนามว่าเป็นชาว “หัวเฉียว” (Huaqiao)
ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1849 เกษตรกรชาวจีนที่อาศัยอยู่ตามชนบท มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อหาสัญญาณของเมฆฝน แต่ดูเหมือนจะสิ้นหวังเพราะฝนไม่มาตามนัด พื้นดินแตกระแหงเป็นปีที่สองติดต่อกัน ที่ไม่สามารถปลูกข้าวหรือพืชผลทางการเกษตรได้ ต้องอาศัยกินหญ้า ใบไม้ และของในป่าเพื่อประทังชีวิตไปในแต่ละวัน และความเป็นจริงในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ประเทศจีนประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรง 4 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากถึง 45 ล้านคน และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี ค.ศ. 1869 มีการขุดคลองสุเอซ ช่วยให้การค้าขายระหว่างชาวตะวันตกและตะวันออกคล่องตัวขึ้น ในขณะที่อาณานิคม ที่ประเทศตะวันตกเข้าครอบครอง เริ่มแสวงหาแรงงานเข้ามาทำงานในเหมืองดีบุก สวนยางพาราและไร่อ้อย
ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงเป็นเหตุจูงใจให้ชาวจีนหลายล้านคนทิ้งบ้านเกิด เสี่ยงตายลงเรือล่องข้ามมหาสมุทรไปยังดินแดนที่ตนเองไม่รู้จัก ทั้ง ๆ ที่การตัดสินใจเช่นนั้น ย้อนแย้งกับความคิดของลัทธิขงจื๊อที่พวกเขาถูก สั่งสอนให้รักครอบครัว เป็นลูกกตัญญู คอยดูแลพ่อแม่และบ้านเกิดที่อาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน
ดินแดนที่ชาวจีนโพ้นทะเลหรือชาวหัวเฉียวเข้าไปตั้งรกรากและมีอิทธิพลมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ในบริเวณหนานยางหรือพื้นที่ช่องแคบมะละกา (Straits Settlements) ซึ่งเป็นอาณานิคมที่ปกครอง โดยอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1826 โดยจัดตั้งในรูปแบบบริษัทค้าขายชื่อว่า British East Indian Company ในบริเวณมะละกา ลาบวน ปีนัง และสิงคโปร์
เยียบ ชอร์ อี (Yeap Chor Ee) เป็นหนึ่งในชาวจีนโพ้นทะเลที่ตัดสินใจไปแสวงหาชีวิตใหม่ ทั้ง ๆ ที่มีเงินติดตัวไม่กี่เพนนี ชอร์ อี เกิดในปี ค.ศ. 1867 ในเมืองนานอัน มณฑลฝูเจี้ยน ช่วงหลังเหตุการณ์กบฏไท่เทียนกั๋ว (Taiping Rebellion) ทำให้ประชากรในเมืองดังกล่าวเหลือเพียง 2 แสนคน จากเดิมที่อาศัยอยู่กว่า 1 ล้านคน ชาวนานอันทำอาชีพเกษตรกรรม แต่ในช่วงดังกล่าวไม่สามารถปลูกพืชผลอะไรได้เพราะภัยแล้ง พ่อแม่ของซอร์ อี เป็นชาวนา มีผืนนาแปลงเล็ก ๆ ได้ผลผลิตในแต่ละปีเพียงพอแค่เลี้ยงดูคนในครอบครัวและไม่ทราบสาเหตุ พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียง 3 เดือน ถูกเลี้ยงดูโดยคุณยายตั้งแต่เด็ก แต่โชคร้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อคุณยายเสียชีวิตเมื่อเขาอายุ 7 ขวบ ปล่อยให้พี่ชาย 2 คนเลี้ยงดูตามยถากรรม ซึ่งตามธรรมเนียมของคนจีนจะต้องฝึกฝนให้ลูกหลานได้ดำเนินรอยตามสืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษ แต่ชอร์ อี ยังอยู่ในวัยเด็กมากกว่าที่จะได้เรียนรู้วิธีการทำนาและปลูกข้าว จึงถูกใช้ทำงานในห้องครัว คอยเก็บมูลสัตว์ไว้ทำเชื้อเพลิง ในขณะเดียวกัน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน แต่เพราะในช่วงเวลานั้น โรงเรียนถูกปิด หาคุณครูมาสอนไม่ได้จากกบฏที่คอยข่มขู่ชีวิต ในช่วงเวลานั้น เด็กในชนบทกว่าร้อยละ 99 จึงไม่สามารถอ่านเขียนได้ ทำให้ชอร์ อี ไม่สามารถแม้กระทั่งเขียนชื่อตนเองได้ถูกต้อง และใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่เห็น แสงสว่างข้างหน้าของชีวิต1/

เมื่อชอร์ อี เติบโตเป็นวัยรุ่นอายุได้ 17 ปี เขาและเพื่อน ๆ เริ่มได้ยินเรื่องราวของชาวจีนโพ้นทะเลที่หนีไปตายเอาดาบหน้า ตั้งรกรากในหนานยาง และเมื่อเขาได้รับการทำนายทายทักจากพระในวัดที่เขานับถือให้เดินทางไปทางตอนใต้ตามพรหมลิขิตที่ถูกกำหนดไว้ พร้อมกับฝันว่าได้เจอรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมในดินแดนใหม่ ทำให้เขาไม่รีรอ ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปแสวงโชคยังดินแดนห่างไกล
ชอร์ อี ใช้เวลาไม่นานในการเตรียมตัว เช้าวันเดินทาง ล่ำลาพี่ชายและญาติแบบไม่หลั่งน้ำตา แต่สัญญาว่าหากโชคดี บุญหล่นทับ จะกลับมาทดแทนบุญคุณทุกคน เขาใช้เวลาเดินทางด้วยเท้า 4 วัน เป็นระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ไปยังเมืองท่าอามอย (Amoy) หรือเมืองเซียเหมิน (Xiaman) ในปัจจุบัน ซึ่งเดินไปตามทางแคบ ๆ ผ่านหมู่บ้าน ไร่นา และหุบเขา ซอร์ อี เล่าว่า ได้ขออาศัยหลับนอนตามบ้านในเส้นทางที่ผ่าน แต่ที่ตื่นเต้นที่สุด คงหนีไม่พ้นการได้เจอกับเสือแบบเผชิญหน้ากันตรง ๆ โชคดีที่ต่างคนต่างไป จนมาถึง เมืองท่าอามอยได้อย่างปลอดภัย
ชอร์ อี มีเงินติดตัวไม่กี่เพนนี ไม่เพียงพอที่จะเสียค่าเรือโดยสาร แต่เขาสัญญากับเจ้าของเรือว่าจะจ่ายให้เมื่อเขาได้เงินจากการทำงานในต่างแดน และในช่วง 2 สัปดาห์ที่อยู่บนเรือได้ช่วยทำงานใต้ท้องเรือจนเป็นที่พอใจของเจ้าของเรืออย่างมาก อย่างไรก็ดี การเดินทางโดยเรือในสมัยนั้นถือว่ามีอันตรายมาก ต้องเสี่ยงดวงกับสภาพภูมิอากาศ ภัยพายุที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเรือหลายลำอับปางก่อนถึงจุดหมายปลายทาง ชาวจีนส่วนหนึ่งต้องเสียชีวิตกลางมหาสมุทร ไปไม่ถึงฝั่งฝันตามเป้าหมายชีวิตที่ตั้งใจไว้
ชอร์ อี นับว่าโชคดีที่เดินทางถึงเมืองจอร์จทาวน์ เมืองหลวงรัฐปีนัง เมืองที่เขาตัดสินใจจะเสี่ยงดวง ตั้งรกรากที่นี่ เพราะปีนังได้กลายเป็นท่าเรือใหญ่ภายหลังการขุดคลองสุเอซ เป็นเมืองการค้า สินค้าจากทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกมาแลกเปลี่ยนกัน ปีนังเติบโตอย่างรวดเร็วจากประชากร 40,000 คน ในปี ค.ศ. 1850 เพิ่มเป็น 90,000 คนในปี ค.ศ. 1881 และเพียงช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. 1884 ถึงปี ค.ศ. 1885 มีชาวจีนย้ายมาตั้งถิ่นฐานถึง 80,000 คน ถือเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า “ซินเดอเรลล่าของชาวหัวเฉียว” (Cinderella of the Straits Settlements) และทำให้ปีนังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชนชาติ ตั้งแต่ชาวมาเลย์ ชาวอินเดีย ชาวสยาม ชาวจีน ไปจนถึงฝรั่งชาวตะวันตก
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานั้น ชาวตะวันตกยังมีอำนาจในการปกครอง ยึดอาชีพสำคัญ ๆ ตั้งแต่งานในภาครัฐ งานวิศวกร ไปจนถึงอาชีพหมอและตำรวจ ในขณะที่คนจีนทำงานแบบไม่เลือก เรียกว่า มีงานอะไรว่างไม่เคยเกี่ยง ได้วันละ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเดือนละ 6 ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ต้องทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ มีค่าเช่าที่พัก และค่ากินอยู่ ซึ่งพวกเขาไม่คุ้นเคยที่ต้องจ่ายเงินทุกอย่าง แต่สามารถเก็บออมได้เดือนละประมาณ 1 ใน 3 ของค่าจ้างที่ได้รับ ถือว่าพึงพอใจแล้วเมื่อเทียบความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นในอดีต
แต่สำหรับชอร์ อี เขาเลือกที่จะทำอาชีพเป็นช่างตัดผม เพราะชาวจีนนิยมโกนผม และไว้ผมเปียด้านหลัง ตระเวนไปให้บริการลูกค้าทั่วเมือง ด้วยเก้าอี้สามขาที่วางให้ลูกค้านั่ง คิดค่าตัดเพียงหัวละ 0.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ด้วยความขยันที่ตัดผมแบบไม่มืดไม่เลิก สามารถทำรายได้ถึง 28 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอาชีพที่ใช้แรงงานอื่น ๆ

แน่นอน ชอร์ อี ไม่ต้องการเป็นช่างตัดผมไปตลอด ชีวิตเขาเดินหน้าต่อไปอย่างไร ที่พลิกตัวเองให้กลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของปีนังและมาเลเซียในช่วงเวลานั้น สามารถติดตามอ่านได้ใน Weekly Mail สัปดาห์หน้าครับ
รณดล นุ่มนนท์
25 สิงหาคม 2568
แหล่งที่มา:
1/ Daryl Yeap, The King’s Chinese, Strategic Information and Research Development Center, 2019
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณ คุณประภาศรี รงคสุวรรณ แนะนำหนังสือเล่มนี้เพื่อนำมาใช้เขียน Weekly Mail

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา