
"...หลังจากกินกันอิ่มหนำสำราญ น้าทั้งสองได้พาไปที่ “วัดวัง” เป็นแห่งแรก หน้าวัดเป็นที่ประดิษฐานของอนุสาวรีย์พระยาพัทลุง ขุนคางเหล็ก ท่านได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากพระเจ้าตากสินมหาราชให้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2315 จากการทำสงครามต่อสู้กับพม่า ถือเป็นเจ้าเมืองคนแรกในรัชสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้สืบเชื้อสายจากท่านสุลต่านสุลัยมานชาร์คนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ มีเรื่องเล่าขานกันว่า เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตรัสถามขุนนางที่เข้าเฝ้าอยู่ว่า “ใครจะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ได้บ้าง” ผู้เข้าเฝ้าต่างนิ่ง มีแต่พระยาพัทลุงที่กราบทูลว่า “เป็นอันเหลือวิสัยผู้หาบุญมิได้ จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ตามเสด็จเมื่อหาชีวิตไม่แล้ว” ทำให้พระเจ้าตากสินทรงชอบพระทัยมาก ถือเป็นคำพูดที่กล้าทูล จนท่านได้รับพระราชทานนามว่า “คางเหล็ก”..."
Weekly Mail สัปดาห์ที่แล้ว ผมพาพวกเราไปท่องเมืองพัทลุง เดินย้อนรอยบรรพบุรุษไปกราบไหว้เจดีย์บรรจุอัฐิคุณตาและคุณยาย หน้าโบสถ์วัดภูผาภิมุข (วัดต่ำ) แวะเยี่ยมโรงเรียนโสภณพัทลุงกุล และโรงเรียนสตรีพัทลุง โรงเรียนที่แม่เคยศึกษาอยู่ในช่วงชั้นประถมและมัธยม (อ่านเพิ่มเติม : เดินย้อนรอยบรรพบุรุษที่เมืองลุง)
ในสัปดาห์นี้ ผมจะพาพวกเราเดินทางต่อไปที่ตำบลลำปำ สถานที่ตั้งของเมืองเก่า ห่างจากตัวเมืองพัทลุงในปัจจุบันราว 6 กิโลเมตร
ถนนออกจากตัวเมืองไปลำปำมีความร่มรื่น สงบเงียบ นาน ๆ จะมีรถวิ่งสวนมา ทำให้ย้อนนึกภาพที่แม่เล่าว่า มีเพื่อนต้องเดินมาเรียนในตัวเมืองทุกวัน และเมื่อขับรถไปจนสุดถนนติดกับทะเลสาบสงขลา พบที่พักริมทะเลให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมวิวและดื่มด่ำกับบรรยากาศ ซึ่งสร้างทอดยาวไปถึงสุดทาง พร้อมกับร้านอาหารที่ตั้งอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม และที่นั่นได้พบกับน้าพวงเล็ก ณ พัทลุง ซึ่งคุณแม่ของน้าพวงเล็ก เป็นญาติสนิทของยายผมและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และน้าสารูป ฤทธิ์ชู ลูกศิษย์คุณแม่ ที่รออยู่ เพื่อเป็นไกด์กิตติมศักดิ์พาเที่ยวชมวัดและวัง พร้อมลิ้มลองอาหารพื้นเมืองที่หาทานไม่ได้ที่อื่น ซึ่งคุณน้าทั้งสองลงทุนไปลองทานอยู่หลายร้านก่อนหน้านั้น จนไปจบที่ร้านชื่อ “เคียงเล” ตั้งอยู่สุดปลายถนน
อาหารออกมาเสิร์ฟแบบยังไม่ทันตั้งตัว เริ่มต้นเมนูด้วย “แกงเคย” ที่รสชาติคล้ายคลึงกับแกงไตปลา มาพร้อมกับผักเคียงหลากหลายชนิด ตั้งแต่ลูกเนียงไปจนถึงสะตอ ทำให้รสชาติแกงเคยเอร็ดอร่อยขึ้น ตามมาด้วย “ยำปลาลูกเบร่” คลุกเคล้ากับเนื้อมะม่วงและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นปลาตัวเล็กคล้ายปลาข้าวสาร พบเฉพาะในคลองลำปำ รสชาติดีแบบกรอบเคี้ยวเพลิน และมาจบด้วย 2 ยอดเมนูที่เป็นไฮไลต์ของมื้อนี้คือ ต้มยำกุ้งสามน้ำ และกุ้งสามน้ำเผา เป็นกุ้งก้ามกราม เนื้อเด้ง ถือเป็นกุ้งแม่น้ำที่จับกันแบบสด ๆ ในทะเลสาบสงขลา ไม่ได้เป็นกุ้งเลี้ยง ผมทานแบบตามใจปากเพราะเนื้อหวาน หอมมันกุ้งมีรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์สมคำร่ำลือ

หลังจากกินกันอิ่มหนำสำราญ น้าทั้งสองได้พาไปที่ “วัดวัง” เป็นแห่งแรก หน้าวัดเป็นที่ประดิษฐานของอนุสาวรีย์พระยาพัทลุง ขุนคางเหล็ก ท่านได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากพระเจ้าตากสินมหาราชให้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2315 จากการทำสงครามต่อสู้กับพม่า ถือเป็นเจ้าเมืองคนแรกในรัชสมัยกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้สืบเชื้อสายจากท่านสุลต่านสุลัยมานชาร์คนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ มีเรื่องเล่าขานกันว่า เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตรัสถามขุนนางที่เข้าเฝ้าอยู่ว่า “ใครจะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ได้บ้าง” ผู้เข้าเฝ้าต่างนิ่ง มีแต่พระยาพัทลุงที่กราบทูลว่า “เป็นอันเหลือวิสัยผู้หาบุญมิได้ จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ตามเสด็จเมื่อหาชีวิตไม่แล้ว” ทำให้พระเจ้าตากสินทรงชอบพระทัยมาก ถือเป็นคำพูดที่กล้าทูล จนท่านได้รับพระราชทานนามว่า “คางเหล็ก”
ถัดจากอนุสาวรีย์คือ พระธาตุเจดีย์วัดวังที่มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ได้รับมอบมาจากวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 และเมื่อเข้าไปภายในบริเวณวัด พบเห็นอุโบสถตั้งเด่นสง่าตระหง่านตา มีท่านเจ้าอาวาสเป็นพระรูปเดียวที่จำพรรษารอคอยอยู่ ท่านมีเมตตาเล่าประวัติของวัดให้ฟังว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) ซึ่งเป็นบุตรพระยาพัทลุงขุนคางเหล็ก ได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2331 เมื่อขึ้นเป็นเจ้าเมืองพัทลุง เพื่อให้เป็นวัดหลวงของเมือง และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการ

วัดวังสร้างโดยฝีมือช่างคนเดียวกับที่สร้างพระอุโบสถวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ลักษณะของพระอุโบสถจึงลอกแบบกัน ทั้งระเบียงล้อมรอบและภาพจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธประวัติภายในอุโบสถ แต่ที่โดดเด่นคือ มีภาพของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวพัทลุงแฝงอยู่ทั้งโลมาอิรวดี ควายน้ำ มรดกโลกที่อาศัยอยู่บริเวณทะเลน้อย การละเล่นวัวชน รวมทั้งการอยู่รวมกันของ 3 เชื้อชาติทั้งไทยมุสลิม ไทยพุทธ และไทยจีน ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ภายในอุโบสถรวมทั้งภาพจิตรกรรมทำให้วัดวังอายุยาวนานกว่า 100 ปี กลับมาดั่งเดิม
ภายหลังที่เพลิดเพลินกับภาพจิตรกรรมได้พักใหญ่ จึงได้กราบลาท่านเจ้าอาวาสเพื่อไปเยี่ยมชมไฮไลต์ของการท่องเมืองลุงในครั้งนี้ คือวังเจ้าเมืองพัทลุง ที่คุณยายเคยอาศัยอยู่ และเคยพาผมกับน้องชายไปนอนค้างคืน
คำถามแรกที่ผมถามคุณน้าทั้งสองคือ ทำไมถึงเรียกว่า “วัง” แทนที่จะเรียกว่า “จวน” หรือ “บ้าน” เพราะวัง มักใช้เรียกที่ประทับหรือที่อยู่ของพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ในระดับสูง ได้รับคำตอบว่า “เจ้าเมือง” คือ “ผู้เป็นเจ้าแห่งเมือง” มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองบ้านเมือง ได้รับพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์จากพระมหากษัตริย์ หรือให้ไป “กินเมือง” จึงมีฐานะเสมือนเจ้า ดังนั้น ที่อยู่ของท่านที่เป็นเจ้าเมืองจึงต้องเรียกว่า “วัง” ด้วย [1]
ในความเป็นจริงวังมีอีกหลายแหล่ง เช่น ที่พัทลุงเคยมีวังกลาง และวังสวนดอกไม้ หรือที่นครศรีธรรมราช เพียงแต่ “วัง” ที่ได้กล่าวทั้งหมดนั้น ก่อสร้างด้วยไม้ทั้งสิ้น ไม่ใช้วัสดุถาวร จึงชำรุดทรุดโทรม เสื่อมสลายไปหมด เหลือไว้เพียงวังเจ้าเมืองพัทลุง ที่ปรากฏตรงหน้าของผม
วังเจ้าเมืองพัทลุงแบ่งออกเป็นสองวังคือ วังเก่า และวังใหม่ เป็นชื่อเรียกที่ติดปากชาวบ้านมาตั้งแต่ต้น “วังเก่า” เป็นที่อยู่ของพระยาอภัยบริรักษ์ (น้อย จันทโรจวงศ์) ในขณะที่ “วังใหม่” เป็นที่อยู่ของลูกท่านเจ้าเมืองน้อย คือพระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร จันทโรจวงศ์) ที่ขึ้นเป็นเจ้าเมืองในเวลาต่อมา
วังเก่าถูกสร้างขึ้นมาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 4 ตั้งอยู่ด้านหน้า มีลักษณะเป็นเรือนไทยยกพื้นสูง ก่อสร้างด้วยไม้เนื้อแข็งที่ยึดกันโดยไม่ตอกตะปู เป็นเรือนแฝดติดกันถึง 3 หลัง เป็นวังที่มีบริเวณกว้างขวางใช้เป็นที่พักและออกว่าราชการ แต่ปัจจุบันเรือนส่วนใหญ่ผุพัง เหลือเพียง 1 หลังและเรือนครัว แม้ว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างการบูรณะ และผมได้เพียงแค่เดินผ่านบริเวณด้านนอก แต่ยังพอนึกภาพสมัยเด็กที่มานอนค้างคืนได้
สำหรับวังใหม่ที่อยู่ด้านหลังได้ปลูกสร้างขึ้นก่อนที่พระยาอภัยบริรักษ์ (เนตร) ขึ้นเป็นเจ้าเมืองในปี พ.ศ. 2434 เป็นเรือนไทยยกพื้นเช่นเดียวกับวังเก่า เป็นกลุ่มเรือนไทยรวม 5 หลังล้อมรอบลานบ้านที่อยู่ตรงกลาง ต่างจากวังเก่าคือ วังมีขนาดเล็กกว่าและลานบ้านที่ล้อมรอบเป็นลานทรายไม่ได้ปูด้วยไม้เป็นชานเรือนเหมือนนอกชานเช่นวังเก่า แต่ที่น่าสนใจคือ พื้นห้องนอนมีช่องลับ มีกระดานปิดไว้เพื่อใช้เป็นช่องทางหนีภัย ซึ่งเมื่อถึงใต้ถุนเรือนจะมีอุโมงค์ลอดใต้ดินไปทะลุริมฝั่งคลองลำปำได้
นอกจากวังทั้งสองแล้ว ยังปรากฏให้เห็นเรือพัทลุงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จอดทอดสมออยู่หลังวัง เป็นเรือที่ถูกใช้ในการติดต่อราชการในจังหวัดที่ติดกับทะเลสาบสงขลา ที่สำคัญเป็นเรือพระที่นั่งขององค์พระประมุขของไทยถึง 2 พระองค์คือ รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 ครั้งเสด็จเยี่ยมพสกนิกรที่ตั้งบ้านเรือนตามชายฝั่งทะเลสาบสงขลา [2]

เสียดายที่ไม่มีเวลาไปทะเลน้อย ดูควายทะเล นกประจำถิ่น รวมทั้งบัวแดง แต่ระหว่างทางกลับได้แวะไปแช่น้ำแร่ธรรมชาติที่อำเภอเขาชัยสน ถือเป็นบ่อน้ำแร่ที่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน น้ำแร่ใสสะอาดทำให้รู้สึกผ่อนคลายหลังจากได้ลงไปแช่ทั้งตัว
การเดินทางไปจังหวัดพัทลุงในครั้งนี้ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมได้รับรู้ถึงความมุมานะของบรรพบุรุษ โดยเฉพาะคุณตา คุณยาย และแม่ที่ต่อสู้กับชีวิตเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ตลอดจนได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองที่สงบเงียบ แต่ยังคงไว้ด้วยขนบธรรมเนียม ศิลปะ ประเพณี และแหล่งธรรมชาติที่งดงามไว้เป็นอย่างดี และผมสัญญากับตัวเองว่า ผมจะกลับมาเยือนเมืองลุงอีกอย่างแน่นอนครับ
แหล่งที่มา:
[1] พลตรีพิบูลย์ จันทโรจวงศ์ และคณะ, ที่ระลึกในพิธีเปิดวังเจ้าเมืองพัทลุง, วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2536, พิมพ์โดยกองโบราณคดี กรมศิลปากร พิมพ์ที่บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), หน้า 53-78
[2] พลตรีพิบูลย์ จันทโรจวงศ์ และคณะ, ที่ระลึกในพิธีเปิดวังเจ้าเมืองพัทลุง, วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2536, พิมพ์โดยกองโบราณคดี กรมศิลปากร พิมพ์ที่บริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), หน้า 97-99
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณน้าแถมสร้อย รัตนพันธุ์ ที่ประสานงานจัดทริปนี้ พร้อมกับเพื่อนน้าสร้อยและลูกศิษย์แม่ที่ช่วยดูแล เป็นมัคคุเทศก์พาเยี่ยมชม ประกอบด้วย น้าควรพิศ ทองอุปการ น้าลำดวน ช่างปณีตัง น้าปองพาสน์ เพชรโชติ น้าจิต เพชรโชติ น้าพวงเล็ก ณ พัทลุง และน้าสารูป ฤทธิ์ชู พร้อมทั้งคุณวลัยพร แพ่งศิริ ที่ร่วมเดินทางและถ่ายรูปประกอบการเขียน Weekly Mail ฉบับนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา