
"...จังหวัดพัทลุงตั้งอยู่ภาคใต้ตอนล่าง ที่มีผู้คนมาอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย ด้วยมีภูมิประเทศที่ติดกับทะเลสาบ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และในฐานะที่เป็นหัวเมืองสำคัญ จึงเคยมีความสำคัญทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตั้งแต่อดีต และแม้จะเป็นเมืองรองที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีแหล่งธรรมชาติให้เที่ยวชมมากมาย รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมประเพณีที่ยังคงปรากฏอยู่ทั่วเมือง ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เคยเสด็จมาตรวจราชการเมืองพัทลุงในปี พ.ศ. 2445 ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า “…ข้ามช้างลงคลองลำปำ…ก็เป็นเมืองพัทลุง มีบ้านเมืองไปแถวหนึ่ง แล้วถึงวัดสองวัด คนละฟากถนนกัน จากนั้นถึงศาลและสนามชนวัวคนละฟากกัน แล้วถึงแนวตลาดเป็นโรงยาวสองฟากเสาไม้จริงมีแท่นก่อสำหรับนั่งขาย …ต่อไปเป็นบ้านสวน พอสุดทางก็ถึงที่ลุ่มเป็นพงใกล้ทะเลสาบปากน้ำลำปำ…”..."
คำถามที่ผมมักจะถูกถามเสมอ เมื่อต้องแนะนำตัวเองกับคนแรกพบคือ ชื่อตนเองที่ไม่มีสระไม่เหมือนใคร เพราะพ่อแม่ตั้งใจให้รับทราบกันว่าลูกชายเกิดที่ลอนดอน และคำถามที่ตามมาคือเป็นคนจังหวัดไหน ต้องใช้เวลาครุ่นคิดพอสมควรเพราะย้ายตามพ่อแม่ที่ไปสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปจนถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร นครปฐม จึงไม่แน่ใจว่าเป็นคนจังหวัดไหนกันแน่ แต่ที่ตอบได้เต็ม ๆ คือ เป็นคนมีเชื้อสายชาวปักษ์ใต้ เพราะคุณตาคุณยาย เป็นคนพัทลุง เป็นคำตอบที่ไม่มีใครถกเถียง จากสีผิวคล้ำและจมูกโด่งเสียขนาดนั้น
อย่างไรก็ดี แม้ผมจะได้รับฟังเรื่องราวจังหวัดพัทลุงจากทั้งคุณยายและแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมจังหวัดพัทลุงบ่อยนัก จำความได้ว่าคุณยายเคยพาผมและน้องชายไปตอนอายุ 10 ขวบ ไปนอนที่วังเก่า เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัด สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และแม่พาไปอีกครั้งตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมอีกเลย จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปวิ่งรายการหาดใหญ่มินิมาราธอน พอดีมีวันว่างก่อนกลับกรุงเทพจึงตัดสินใจเช่ารถแบบไปเช้าเย็นกลับ เพื่อไปไหว้บรรพบุรุษ พร้อมกับย้อนเวลาเดินตามรอยคุณยายและแม่ที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น
จังหวัดพัทลุงตั้งอยู่ภาคใต้ตอนล่าง ที่มีผู้คนมาอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทย ด้วยมีภูมิประเทศที่ติดกับทะเลสาบ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และในฐานะที่เป็นหัวเมืองสำคัญ จึงเคยมีความสำคัญทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตั้งแต่อดีต และแม้จะเป็นเมืองรองที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีแหล่งธรรมชาติให้เที่ยวชมมากมาย รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมประเพณีที่ยังคงปรากฏอยู่ทั่วเมือง ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เคยเสด็จมาตรวจราชการเมืองพัทลุงในปี พ.ศ. 2445 ได้ทรงนิพนธ์ไว้ว่า “…ข้ามช้างลงคลองลำปำ…ก็เป็นเมืองพัทลุง มีบ้านเมืองไปแถวหนึ่ง แล้วถึงวัดสองวัด คนละฟากถนนกัน จากนั้นถึงศาลและสนามชนวัวคนละฟากกัน แล้วถึงแนวตลาดเป็นโรงยาวสองฟากเสาไม้จริงมีแท่นก่อสำหรับนั่งขาย …ต่อไปเป็นบ้านสวน พอสุดทางก็ถึงที่ลุ่มเป็นพงใกล้ทะเลสาบปากน้ำลำปำ…” [1]
ปัจจุบันสภาพตัวเมืองพัทลุงยังคงมีสภาพและกลิ่นอายดังกล่าว จากความที่เป็นเมืองสงบเงียบ การขยายตัวจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ผมขับรถออกจากหาดใหญ่ไปตามถนน 4 เลน ขับเพลิน ๆ เพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงตัวเมืองพัทลุง วิวตรงหน้ามองเห็นภูเขาอกทะลุตั้งอยู่ ชื่อภูเขาตั้งตามรูปลักษณะที่มีช่องมองลอดทะลุตรงบริเวณยอดเขา ถือเป็นเอกลักษณ์เปรียบเสมือนเสาหลักเมือง ผมตรงไปที่วัดภูผาภิมุข (วัดต่ำ) เพื่อไปกราบไหว้คุณตาและคุณยายที่เจดีย์บรรจุอัฐิบริเวณหน้าโบสถ์ มีเพื่อนของน้าแถมสร้อย รัตนพันธุ์ (น้องสาวของแม่) รอรับอยู่ ก่อนไปกราบเจ้าอาวาส พร้อมนิมนต์พระมาสวดบังสุกุล
คุณตา (ร้อยตรีถัด รัตนพันธุ์) เป็นผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดพัทลุง ด้วยคำขวัญที่ยังเป็นอมตะของชาวบ้านที่ว่า “กินเลี้ยงครูถัด ใส่บัตรนายร้อย” จากการหาเสียงใช้เงินไม่ถึง 1,000 บาท ที่ชนะคู่แข่งคือครูถัด พรหมมาณพ ในขณะที่คุณยาย (แส รัตนพันธุ์) เกิดในสกุล “ณ พัทลุง” ใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กที่บ้านสวนดอกไม้และวังเก่าลำปำ ซึ่งเดิมเป็นจวนและสถานที่ว่าราชการของพระยาพัทลุง คนพัทลุงรุ่นสูงวัยต่างรู้จักคุณตาและคุณยายเป็นอย่างดี และที่สำคัญพัทลุงเป็นเมืองเล็กจึงเป็นเครือญาติเกี่ยวดองกันแทบทุกคน

ด้านหน้าของวัดภูผาภิมุข คือโรงเรียนโสภณพัทลุงกุล ที่แม่เรียนชั้นประถม เมื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามคือโรงเรียนสตรีพัทลุง โรงเรียนสตรีแห่งเดียวในจังหวัด แม่เรียนชั้น ม.1 ถึง ม.6 ก่อนรับทุนมูลนิธิฟุลไบรท์มาศึกษาต่อที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
อาคารเรียนทั้งสองแห่งถูกทุบทิ้งไปแล้ว มีอาคารเรียนใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่ผมยังเห็นเสน่ห์ของโรงเรียนทั้งสองที่ยังคงผลิตเด็กพัทลุงให้เป็นเด็กที่มีคุณค่าต่อสังคม แม่เล่าว่า “สมัยเข้าเรียน โรงเรียนมีอาคารไม้ 2 ชั้น เพียงหลังเดียวและมีปีกยื่น 2 ข้าง เป็นเรือนรูปตัวยู มีบันไดเดินขึ้นห้องเรียนข้างบนชั้น ม.1 เรียนอยู่ข้างล่าง ส่วนที่เหลือเป็นห้องประชุม…โรงเรียนมีพื้นที่ราว 18 ไร่กว่า แลดูกว้างไกลสุดสายตา…ครูมีหลายคน และพวกเราออกจะซึ้งต่อคำที่เรียกขานว่า “ครู” ครูส่วนใหญ่เป็นชาวพัทลุง เรียนจบชั้น ม.6 ของโรงเรียนแล้วไปเรียนต่อวิชาครู ได้ ป.ป. บ้าง ป.ม. บ้าง ความสนิทสนมระหว่างครูกับนักเรียนเปรียบเสมือนญาติ และครูหลายคนเป็นญาติจริง ๆ…” [2]

ผมใช้เวลาเดินอยู่บริเวณดังกล่าวพักใหญ่ เสียดายที่ไม่ได้เห็นแผ่นทองผดุงเกียรติที่โรงเรียนสตรีพัทลุงจารึกชื่อแม่ไว้ในฐานะสอบได้ที่ 1 ของจังหวัด เพราะโรงเรียนถอดเก็บไว้เพื่อรอสร้างอาคารหลังใหม่ ผมใช้เวลาเดินอยู่บริเวณดังกล่าวพักใหญ่ เสียดายที่ไม่ได้เห็นแผ่นทองผดุงเกียรติที่โรงเรียนสตรีพัทลุงจารึกชื่อแม่ไว้ในฐานะสอบได้ที่ 1 ของจังหวัด เพราะโรงเรียนถอดเก็บไว้เพื่อรอสร้างอาคารหลังใหม่ ก่อนกราบลาเจ้าอาวาส และเพื่อนน้าแถมสร้อย เพื่อมุ่งหน้าไปตำบลลำปำ ที่ตั้งเมืองพัทลุงเก่า ห่างจากตัวเมืองปัจจุบัน 6 กิโลเมตร สถานที่เกิดของคุณยาย
ในสัปดาห์หน้า ผมจะพาพวกเราไปทานอาหารปักต์ใต้ ที่หาทานได้เฉพาะที่พัทลุงและเข้าเยี่ยมชมวัดวัง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด พร้อมเข้าไปในวังเก่าและวังใหม่ ซึ่งเดิมเป็นจวนเจ้าเมืองพัทลุงและสถานที่ว่าราชการเมืองพัทลุงกันครับ
แหล่งที่มา:
[1] หนังสืองานศพ แส รัตนพันธุ์ 30 ธันวาคม 2532, พิมพ์ที่บริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง จำกัด, พ.ศ. 2533
[2] แถมสุข นุ่มนนท์, ประวัติ (ศาสตร์) อันแสนสุขของแถมสุข, พิมพ์ที่โรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด, พ.ศ. 2565
หมายเหตุ :
ขอขอบคุณน้าแถมสร้อย รัตนพันธุ์ ที่ประสานงานจัดทริปนี้ พร้อมกับเพื่อนน้าสร้อยและลูกศิษย์แม่ที่ช่วยดูแลเป็นมัคคุเทศก์พาเยี่ยมชม ประกอบด้วย น้าควรพิศ ทองอุปการ น้าลำดวน ช่างปณีตัง น้าปองพาสน์ เพชรโชติ น้าจิต เพชรโชติ น้าพวงเล็ก ณ พัทลุง และน้าสารูป ฤทธิ์ชู พร้อมทั้งคุณวลัยพร แพ่งศิริ ที่ร่วมเดินทางและถ่ายรูปประกอบการเขียน Weekly Mail ฉบับนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา