
"...ตามข่าวที่นำเสนอ น้องผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อใช้แพลตฟอร์มไลน์ติดต่อกับผู้ชายคนหนึ่งและด้วยธรรมชาติของวัยเจนเนอเรชั่น Z ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่กับโซเชียลมีเดียและด้วยอารมณ์ของความเป็นวัยรุ่นน้องผู้หญิงคนนี้รวมถึงเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภัยที่มาจากโลกออนไลน์ในทุกรูปแบบและกลายเป็นเหยื่อมิจฉาชีพซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายไป ความเสี่ยงของเด็กในโลกออนไลน์นอกจากอารมณ์ของวัยเด็กและวัยรุ่นแล้วยังมีความสัมพันธ์กับ ระบบการคิดและการเติบโตของสมองส่วนหน้ามนุษย์ด้วย..."
หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยจากข่าวเด็กหญิงวัยเพียง 14 ปีจากจังหวัดระยองถูกหลอกให้ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งน่าจะเป็นเหยื่ออายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยเป็นข่าวและสร้างความกังวลอย่างยิ่งกับผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยเดียวกัน ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กวัย 15 ปีถูกหลอกไปทำงานในลักษณะเดียวกันที่ปอยเปตประเทศกัมพูชาเช่นกันและเพียงไม่ถึงเดือนหลังจากเด็กหญิงวัย 14 ถูกหลอก เกิดกรณีวัยรุ่นชายซึ่งมีภาวะออทิสติก ถูกพาขึ้นรถยนต์หลอกไปทำงานซึ่งคาดว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่แม่เด็กไหวตัวทันและตามไปเอาลูกกลับคืนมาได้
กรณีแรกจากการสอบสวนทราบว่าเด็กหญิงอายุ 14 คนดังกล่าว ถูกชายคนหนึ่งติดต่อผ่านแพลตฟอร์มไลน์ หลอกให้ไปทำงานในพื้นที่ จ.สระแก้ว โดยมีคนขับรถไปรับที่บ้าน และบอกว่า ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาดกระทั่งหายตัวไป ชายคนนี้ได้พาเด็กหญิงคนดังกล่าว ข้ามชายแดนในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มุ่งหน้าประเทศกัมพูชา ซึ่งผู้เป็นแม่ไม่สามารถติดต่อได้ทุกช่องทาง จึงไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปลวกแดง จังหวัดระยอง และประกาศตามหาในโซเชียลมีเดีย ก่อนที่จะมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝั่งกัมพูชาเพื่อช่วยเหลือและนำตัวกลับมาสู่อ้อมอกผู้ปกครองได้ (1/2/3)
เด็กเจนเนอเรชั่น Z
ในขณะที่เรากำลังปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นแต่ดูเหมือนว่ามาตรการการป้องกันปัญหาการหลอกลวงเหยื่อที่เป็นเด็กไปทำงานมิจฉาชีพผ่านโซเชียลมีเดียกลับได้รับความสำคัญรองลงไปและเป็นข่าวที่เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นเหมือนกับข่าวชาวบ้านทั่วไปแล้วก็จบกันไปอย่างรวดเร็วจากหน้าสื่อ ทั้งที่ปัญหาการหลอกลวงเด็กผ่านโลกออนไลน์และการใช้เทคโนโลยีออนไลน์แบบไร้ภูมิคุ้มกันของเด็กและคนไทย กำลังกัดกร่อนโครงสร้างทางสังคมของไทยอยู่ทุกนาทีและนับวันจะเพิ่มขึ้นทุกวันจากการที่เด็กเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนผ่านโทรศัพท์มือถือและเชื่อได้ว่าเหยื่อที่เป็นเด็กไม่ได้มีเฉพาะรายนี้เพียงรายเดียว แต่น่าจะมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกมากมายที่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงประเภทต่างๆและเหยื่อเหล่านี้เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งและคงจะมีเหยื่อรายต่อๆไปไม่มีสิ้นสุดหากเราไม่มีมาตรการป้องกันภัยที่มาจากโลกออนไลน์อย่างยั่งยืนโดยปล่อยให้คนไทยใช้เทคโนโลยีกันตามมีตามเกิด
น้องผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวยังใช้คำนำหญ้าว่าเด็กหญิง หากเทียบเป็นเจนเนอเรชั่นที่ประเทศตะวันตกแบ่งประเภทแล้ว น้องคนนี้จะอยู่ในช่วงปลายของเจนเนอเรชั่น Z (แซด หรือ ซี) ซึ่งเป็นเด็กที่เกิดอยู่ระหว่างปี 2538- 2555 (1995-2012) พ่อและแม่ของเด็กเจนเนอเรชั่นนี้คือ เจนเนอเรชั่น X (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2508-2522) หรืออาจลงมาถึงเจนเนอเรชั่น มิลลิเนียล (เดิมเรียกว่า เจนเนอเรชั่น Yเกิดระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2537) คนในเจนเนอเรชั่น Z จึงเกิดมาในยุคดิจิทัลที่แท้จริงหรือเป็น Digital native เต็มตัว
คนในเจนเนอเรชั่น Z เป็นมนุษย์ที่ไม่เคยเผชิญกับโลกที่ไร้อินเทอร์เน็ตและเป็นคนเจนเนอเรชั่นแรกที่ช่วงวัยรุ่นของพวกเขาพรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่รายล้อมรอบตัวทั้ง สมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย และ เกม ต่างๆ คนในกลุ่มนี้จึงใช้เวลากับหน้าจอมากกว่าคนในเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในโลกแห่งความจริงน้อยลงเพราะใช้เวลาจดจ่อกับกิจกรรมบนหน้าจอกับโซเชียลมีเดียเป็นส่วนใหญ่
เด็กเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจาก ความเป็นเด็กต้องเล่นในโลกจริง (Play–based childhood) ไปสู่ความเป็น เด็กต้องอยู่กับโทรศัพท์ (Phone-based childhood) (4) ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปซึ่งหมายความว่ากิจกรรมใดๆของเด็กและมนุษย์โดยทั่วไปจะมีเทคโนโลยีประเภทต่างๆมาคั่นกลางอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย
ในแง่มุมของโซเชียลมีเดีย เด็กในวัยนี้จึงมีพฤติกรรมเฉพาะตัวที่พ่อ แม่ผู้ปกครองอาจไม่เข้าใจและตามไม่ทันและอาจเห็นเป็นเรื่องแปลกหรือขัดหูขัดตา นอกจากนี้คนกลุ่มนี้ยังมักเผชิญกับความเครียดและความกังวลที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงจะพบกับประสบการณ์เหล่านี้มากกว่าผู้ชายและยังพบอัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากการทำร้ายตัวเองและอัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นทั้งสองเพศแต่เพศชายพบมากกว่าเพศหญิง(ข้อมูลการศึกษาของสหรัฐอเมริกา) (5)
วัยรุ่นในโลกออนไลน์ วัยที่น่าเป็นห่วง
นักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับสุขภาพจิตของวัยรุ่นไว้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงวัยมีความเข้มข้นและความฉับไวทางอารมณ์สูง ขณะที่มีความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่ ตามธรรมชาติในการเติบโต วัยรุ่นจะใช้สมองส่วน limbic systems (สมองส่วนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอารมณ์) ในการทำงาน การทำงานแบบใช้อารมณ์นำเหตุผลและความคิด ทำให้อารมณ์หุนหัน หากโกรธก็โกรธไว หากเศร้าก็เศร้ามาก และคิดวนเวียนต่อเรื่องต่างๆ ซ้ำๆ ส่วนลักษณะเด่นด้านอารมณ์ที่ชี้ชัดว่ามนุษย์คนหนึ่งเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว เป็นต้นว่า เริ่มคาดเดาอารมณ์ได้ยาก เริ่มต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวและเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ที่นอกเหนือไปจากครอบครัว (6)
ตามข่าวที่นำเสนอ น้องผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อใช้แพลตฟอร์มไลน์ติดต่อกับผู้ชายคนหนึ่งและด้วยธรรมชาติของวัยเจนเนอเรชั่น Z ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่กับโซเชียลมีเดียและด้วยอารมณ์ของความเป็นวัยรุ่นน้องผู้หญิงคนนี้รวมถึงเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภัยที่มาจากโลกออนไลน์ในทุกรูปแบบและกลายเป็นเหยื่อมิจฉาชีพซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็เกือบสายไป ความเสี่ยงของเด็กในโลกออนไลน์นอกจากอารมณ์ของวัยเด็กและวัยรุ่นแล้วยังมีความสัมพันธ์กับ ระบบการคิดและการเติบโตของสมองส่วนหน้ามนุษย์ด้วย
การทำงานของสมองมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ระบบ ซึ่งเรียกระบบการทำงานนี้ว่า สมองส่วนคิดเร็ว (Fast thinking) หรือสมองระบบที่ 1 (System 1) และสมองส่วนคิดช้า (Slow thinking) หรือสมองระบบที่ 2 (System2)
สมองส่วนคิดเร็ว คือสมองส่วนที่คิดและตัดสินใจได้อย่างอัตโนมัติ ตัดสินใจอะไรง่ายๆ และไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก โดยอาศัยความชำนาญ สัญชาตญาณและข้อมูลที่มีในอดีตที่มีอยู่แล้วและสามารถนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่วนสมองส่วนคิดช้า คือ สมองส่วนที่ใช้ตรรกะและการคิดอย่างมีเหตุผล สมองส่วนนี้จะมีผลต่อความคิดและการตัดสินใจเมื่อเราใช้ความพยายามมากในการโฟกัสถึงการตัดสินใจนั้นๆ (7)
ทฤษฎีของการคิดแบบเร็วทำงานได้ดีกับโลกดิจิทัลและทำงานสัมพันธ์กับฟังก์ชันของโซเชียลมีเดียที่หลอกล่อให้มนุษย์เข้าไปติดกับดัก เช่น การโน้มน้าวอารมณ์ให้ผู้คนเข้าไปคลิก (Click bait) ข้อความหน้าจอ การตอบสนองทันทีต่อการเห็นภาพและข่าวที่มีความก้าวร้าวรุนแรงหรือคอนเทนต์กระตุ้นอารมณ์ เป็นต้น น้องวัย 14 ปีคนนี้จึงเข้าข่ายของการใช้สมองส่วนคิดเร็วตัดสินใจเพราะเชื่อในสิ่งสแกมเมอร์หว่านล้อมโดยที่สมองส่วนคิดช้าทำงานไม่ทันจนนำไปสู่การถูกหลอกลวงในที่สุด (8)
นอกจากปัจจัยทางความคิดแล้ว การทำงานของสมองส่วนหน้ามีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน เพราะสมองส่วนหน้าทำหน้าที่เกี่ยวกับการมีสมาธิจดจ่อ การคิดวางแผน การแก้ปัญหาด้วยความยืดหยุ่น การคาดการณ์ การคำนึงถึงผลที่ตามมา ทำให้เกิดความยับยั้งชั่งใจ และช่วยให้สามารถควบคุมตนเองได้ซึ่งวัยเด็กจะเป็นช่วงวัยที่พบปัญหาพฤติกรรมได้บ่อยเพราะสมองส่วนหน้ายังทำงานได้น้อย เนื่องจากสมองส่วนนี้ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดปัญหาการควบคุมอารมณ์ การคิดแก้ปัญหาไม่เหมาะสม ขาดการรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง (9)
นักวิชาการบางคนให้คำจำกัดความว่าสมองส่วนหน้า เป็นซีอีโอของสมอง เป็นส่วนสุขุมลุ่มลึกซึ่งทำหน้าที่คิดทบทวน และเป็นส่วนที่มีพัฒนาการช้าที่สุดกว่าจะสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงเรียนรู้และทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆได้ดีกว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และทำไมวัยรุ่นจึงมักตกอยู่ในภาวะสับสนรวมถึงยากลำบากในการตัดสินใจ (10)
ทั้งระบบการคิดและการเจริญเติบโตของสมองส่วนหน้าของเด็กจึงส่งผลต่อการตัดสินใจของเด็กเมื่อเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์และมีความเสี่ยงที่จะถูกชักจูงและกระทำการใดก็ตามที่สแกมเมอร์สั่งให้ทำ คำอธิบายข้างต้นจึงเฉลยคำถามว่าเหตุใดเด็กจึงอ่อนไหวต่อการโน้มน้าวจากกลุ่มคนในวัยเดียวกันหรือพวกอินฟลูเอนเซอร์ในโลกออนไลน์ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
เด็กหญิง มีความเสี่ยงกว่าเด็กชาย
จริงอยู่ เด็กในเจนเนอเรชั่น Z เป็นเด็กที่เกิดมาในยุคดิจิทัลซึ่งเป็น Digital native ที่สามารถใช้ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ตอื่นๆได้อย่างคล่องแคล่วและสามารถเรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีได้ดีกว่าคนยุคพ่อ แม่ แต่ทักษะในการรับมือกับภัยจากโลกออนไลน์นั้น เด็กยังขาดประสบการณ์และยังรู้ไม่เท่าทันจึงมีโอกาสตกเป็นเหยื่อเพราะตามไม่ทันต่อเล่ห์เหลี่ยมของสแกมเมอร์ที่มาทุกรูปแบบ รวมทั้งธรรมชาติของเด็กที่ขาดความยั้งคิดที่มากพอจึงมักพลาดท่าให้นักหลอกลวงต้มตุ๋นเหล่านี้หลอกได้
มีผลการศึกษาที่น่าสนใจพบว่า การพูดคุยกับคนไม่รู้จักบนโลกเสมือนจะทำให้ผู้คนเปิดเผยตัวตนมากกว่าการอยู่ในโลกแห่งความจริง (11) จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดมิจฉาชีพซึ่งเป็นคนแปลกหน้าจึงล้วงข้อมูลส่วนตัวของเด็กได้อย่างละเอียดโดยที่เด็กไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกหลอกถามข้อมูลเพื่อประสงค์ร้ายตัวเอง นอกจากนี้การได้พูดคุยหรือสัมผัสกับคนแปลกหน้าในโลกเสมือนอาจทำให้เด็กบางคนรู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมใจมากกว่าการได้สัมผัสกับผู้คนในโลกแห่งความจริงเสียอีก
การเข้าไปอยู่กับโซเชียลมีเดียของเด็กจึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายเมื่อเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนด้วยเหตุผล 6 ประการ (4)
- เด็กผู้หญิงใช้เวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ประเภทแสดงภาพ เช่น IG TikTok ฯลฯ มากกว่าผู้ชาย
- เด็กผู้หญิงมักมีการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
- การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ(Relational regression : การแสดงออกถึงความก้าวร้าวเพื่อทำลายสัมพันธภาพหรือความรู้สึก) มักจะเกิดกับเด็กผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
- การถูกตัดสินโดยคนที่ไม่รู้จักบนโซเชียลมีเดียอาจเป็นปัจจัยทำให้ เด็กผู้หญิงมักมีความพิถีพิถันและระมัดระวังต่อสิ่งที่ตัวเองโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่าจะสมบูรณ์และดีเพียงใด เด็กผู้หญิงจึงมักมีความกดดันต่อการยึดถือความสมบูรณ์แบบ(Perfectionism)มากกว่าเด็กผู้ชาย
- เด็กผู้หญิงมักมีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คนบนโซเชียลมีเดีย
- เด็กผู้หญิงที่ใช้โซเชียลมีเดียมักจะมีความเสี่ยงต่อการคุกคามทางเพศและถูกล่าจากนักล่าเหยื่อบนโลกออนไลน์
จิตวิทยาของสแกมเมอร์
เนื่องจากเด็กที่ตกเป็นเหยื่อตามข่าวยังเป็นเยาวชน คำพูดของเด็กจึงปรากฏเฉพาะสิ่งที่สื่อนำเสนอเท่านั้นไม่มีรายละเอียดมากเท่าที่ควร แต่ทราบในเบื้องต้นว่าเด็กใช้ แพลตฟอร์มไลน์ ในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าซึ่งต้องพบกับคนมากหน้าหลายตารวมทั้งพวกสแกมเมอร์ที่แฝงตัวมากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยทั่วไปสแกมเมอร์เหล่านี้มักล่าเหยื่อด้วยการใช้เทคนิคทางจิตวิทยากับเหยื่อ 2 ในรูปแบบ
1. เทคนิคการใช้จิตวิทยาควบคุมเหยื่อ (Psychological manipulation)
- ใช้ความเร่งด่วนกดดันเหยื่อให้ต้องตอบสนองโดยฉับพลัน - เช่น บัญชีของท่านจะถูกปิดภายใน 24 ชั่วโมง ต้องกดลิงค์ที่แนบมานี้โดยด่วน โทรศัพท์ท่านจะโดนตัดภายใน 1 ชั่วโมง ติดต่อบริษัทโดยด่วน ฯลฯ
- ใช้ความมีอำนาจในการสร้างความน่าเชื่อถือ – เช่น ปลอมเป็นบุคคลหรือองค์กร เช่น ตำรวจ ธนาคาร บริษัทเทคโนโลยี ฯลฯ
- สร้างภาพลวงตาว่าสิ่งที่จะมอบให้มีจำนวนจำกัด - เช่น ทำให้เหยื่อกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการได้รับ สิ่งของ บริการ เงินค่าตอบแทน ฯลฯ
2. เทคนิคการกระตุ้นอารมณ์เหยื่อ (Emotional trigger)
- ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว - เช่น กลัวว่าจะถูกดำเนินคดี กลัวว่าจะเสียโอกาส กลัวว่าจะไม่ได้รับบริการ ฯลฯ
- ทำให้เหยื่อเกิดความโลภ – เช่น เสนอผลตอบแทนก้อนโตจากการลงทุน เสนองานรายได้ดี ฯลฯ
- แสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจเหยื่อ -เช่นทำทีเห็นใจที่เหยื่อมีความเหงา โดดเดี่ยว เบื่อหน่ายสภาพแวดล้อมรอบตัว ฯลฯ (12)
เทคนิคการควบคุมเหยื่อและการใช้จิตวิทยาในการกระตุ้นอารมณ์เหยื่อจึงเป็นวิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปของบรรดาสแกมเมอร์ซึ่งทำให้ทั้งเด็กที่ตกเป็นข่าวและผู้ใหญ่บางคนถูกหลอกลวงนำไปสู่การเสียทรัพย์สินเงินทอง ติดการพนันออนไลน์และอาจถึงขั้นเสียเนื้อเสียตัวเมื่อถูกหลอกให้ตกหลุมรัก
ความลับในสมอง
เมื่อใดก็ตามที่สแกมเมอร์สามารถที่จะควบคุมและกระตุ้นให้เหยื่อหลงเชื่อด้วยวิธีข้างต้นที่มักรู้จักกันว่ากระบวนการ โซเชียล เอ็นจิเนียริ่ง (Social Engineering) ซึ่งหมายถึง การที่สแกมเมอร์ใช้เทคนิคชักจูงให้เหยื่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามที่สแกมเมอร์ต้องการทั้งที่เหยื่อไม่ได้ต้องการทำเช่นนั้นและทันทีที่เหยื่อหลงเชื่อ สมองของเหยื่อจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า ออกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความผูกพัน เช่น การกอด สัมผัสมือ หรือการมีเซ็กส์ก็จะทำให้สมองหลั่งออกซิโตซินมากขึ้นจะทำให้เราเกิดความผูกพัน รู้สึกรัก อยากอยู่ร่วมกับคนรัก และสร้างครอบครัว(13) รวมทั้งเมื่อเราเชื่อใครหรือมีความรู้สึกว่าผู้อื่นเชื่อเรา ฮอร์โมนชนิดนี้จะหลั่งออกมาเช่นกัน
ฮอร์โมนออกซิโตซิน เป็นสารเคมีที่ทำงานสัมพันธ์อย่างดีกับฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ซึ่งจะหลั่งออกมาจากสมองขณะมีความสุข ความเพลิดเพลินและเมื่อถูกกระตุ้นทางอารมณ์ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่สารเคมีสองชนิดนี้ถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นอาหารชั้นเลิศที่พวกสแกมเมอร์ ปรุงมาให้เหยื่อและกลายเป็นช่องทางที่เหยื่อเปิดรับให้สแกมเมอร์เข้าไปชักจูงได้อย่างง่ายดายโดยแทบไม่มีแรงต้านใดๆเลย (14)
ความเชื่อ(ออกซิโตซิน) + ความสุข(โดพามีน) = เมนูที่สแกมเมอร์ปรุงให้เหยื่อ
ลักษณะของการหลอกลวงเด็กรายนี้ผ่านแพลตฟอร์มไลน์เรียกกันโดยทั่วไปว่า การหลอกลวงทางโซเชียลมีเดีย( Social media scam) ซึ่งใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการติดต่อกับเหยื่อและเมื่อถูกหลอกไปถึงสถานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วเด็กจะถูกใช้ให้โทรศัพท์ไปหาเหยื่อซึ่งเป็นการหลอกลวงในลักษณะที่เรียกว่า การหลอกลวงทางโทรศัพท์ ( Phone scam) ซึ่งใช้โทรศัพท์เป็นช่องทางหลอกลวงเหยื่อ เท่ากับว่าคนร้ายใช้ทั้งโซเชียลมีเดียและโทรศัพท์ในการปฏิบัติการในวงจรของการหลอกลวงผู้คนแถมยังใช้แรงงานเด็กอีกด้วย
ยังไม่สาย ถ้าคิดจะสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก
การที่เด็กสามารถใช้โซเชียลมีเดียติดต่อกับคนแปลกหน้าได้ แสดงว่า เด็กสามารถเปิดบัญชีได้ ตามเงื่อนไขการใช้บริการของแพลตฟอร์มไลน์คือต่ำสุด 11 ปีหรืออยู่ราวชั้น ป.6 ซึ่งอายุขั้นต่ำในการเปิดบัญชีโซเชียลมีเดียของแต่ละแพลตฟอร์มในแต่ละประเทศกำหนดไว้ไม่เท่ากัน ถึงวันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าอายุที่แน่นอนเท่าไรจึงสามารถใช้โซเชียลมีเดียและอยู่หน้าจอได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม แต่คำแนะนำจากแพทย์และนักจิตวิทยาที่รับรู้กันทั่วโลกคือต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี อยู่กับหน้าจอและควบคุมเวลาอยู่หน้าจอและใช้อุปกรณ์ประเภทสมาร์ทโฟนอย่างเหมาะสมตามวัยสำหรับเด็กโตหรือประวิงเวลาการยอมให้เด็กใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียออกไปให้มากที่สุดหรือหากจำเป็นต้องมีพ่อแม่ ผู้ปกครองแนะนำอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นการลดเวลาการอยู่หน้าจอสำหรับคนทุกวัยคือคำแนะนำที่ควรปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบต่อ สุขภาพกาย สุขภาพจิต และเพิ่มความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง รวมทั้งเปิดหน้าต่างเวลาเพื่อให้เด็กวัยกำลังพัฒนาตัวเองอยู่ในโลกแห่งความจริงมากยิ่งขึ้นและลดโอกาสไม่ให้คอนเทนต์ที่เป็นภัยเข้ามาสู่สายตาของเด็ก ผลการศึกษาพบว่าวัยที่อ่อนไหวของมนุษย์ต่อการรับรู้ประสบการณ์มากที่สุดคือวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งมีอายุราว 9-15 ปี เพราะขณะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จะมีการเร่ง กระบวนการที่เรียกว่า การตัดแต่งสมอง ( พรุนนิ่ง :Pruning) และการเติมไมอีลีน (Myelination) ในสมอง ซึ่งหมายความว่า สมองที่ตัดแต่งเรียบร้อย จัดระเบียบได้ดีกว่า ความเร็วของการส่งสัญญาณประสาทก็จะเร็วกว่า ร่วมกับ การเติมสารไมอีลีนลงบนเส้นประสาท ซึ่งเส้นประสาทที่มีสารไมอิลีนมากกว่าก็จะส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่า เร็วกว่าเป็นพันเท่า (8)
วัยเจริญพันธุ์จึงเป็นวัยที่โซเชียลมีเดียสามารถจะทำร้ายเด็กได้ง่ายที่สุด เพราะเด็กในวัยนี้ไม่สามารถที่จะรับมือกับ ความเป็นไวรัลของคอนเทนต์ของตัวเอง ความไร้ตัวตนบนโลกเสมือนรวมทั้ง ผลลัพธ์ที่พยากรณ์ไม่ได้และที่สำคัญคือเด็กไม่สามารถรับมือกับวายร้ายสแกมเมอร์บนโลกโซเชียลได้และหากเด็กในวัยเจริญพันธุ์ถูกผลักดันเข้าไปสู่โลกเสมือนด้วยการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียเร็วเกินไป ประสบการณ์ในชีวิตจริงของพวกเขาจะถูกปิดกั้นด้วยสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียและถูกแทนที่ด้วยประสบการณ์บนโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์จากคนร้อยพ่อพันแม่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนในวัยนี้ไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะผลกระทบทางอารมณ์ ของเด็กหรือวัยรุ่นที่ใช้เวลาเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนมากเกินไป
จากผลการศึกษาข้างต้น นักจิตวิทยาบางคนจึงเห็นว่าอายุที่เหมาะสมสำหรับการใช้โซเชียลมีเดียตามกฎหมายขั้นต่ำควรจะอยู่ที่ 16 ปี ซึ่งพ้นจากวัยเจริญพันธุ์มาแล้วและ มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ ดังนั้นหลักการขั้นต้นที่ควรปฏิบัติเพื่อปกป้องเด็กจากภัยที่มาจากเทคโนโลยีผ่านสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ตามที่นักจิตวิทยาแนะนำ มักประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 4 ประการต่อไปนี้ (4)
- ห้ามใช้สมาร์ทโฟนก่อนเข้าสู่ระดับไฮสคูล ซึ่งเทียบได้กับชั้น ม.4 - ม.6
- ห้ามใช้โซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 ปีเพราะเป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาและต้องการ การสัมผัสกับโลกแห่งความจริง
- โรงเรียนต้องเป็นโรงเรียนปลอดจากโทรศัพท์ระหว่างการเรียนการสอน
- ส่งเสริมให้เด็กมีการพัฒนาทักษะทางสังคม ลดความเครียด สามารถควบคุมตัวเองและจัดการความเสี่ยงต่างๆได้ ด้วยการมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมในโลกแห่งความจริงและได้พบปะกับคนวัยเดียวกันหรือต่างวัยโดยอิสระ
บางประเทศนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปใช้อย่างครบถ้วน พ่วงด้วยการบังคับให้แพลตฟอร์มต้องสามารถตรวจสอบอายุขั้นต่ำของผู้ใช้แพลตฟอร์มอย่างเคร่งครัด ในขณะที่บางประเทศกำหนดเพียงให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดจากโทรศัพท์ ซึ่งข้อเสนอแนะเหล่านี้เป็นมาตรการขั้นต้นที่สามารถทำได้ทั้ง การออกกฎหมาย การออกกฎของโรงเรียน การสร้างความเข้าใจ การให้ความรู้ รวมทั้งขอความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครองซึ่งไม่มีวันสายหากคิดจะทำอย่างจริงจัง
ประเทศใดบ้างที่จำกัดอายุการใช้โซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟน
นอกจากการรณรงค์ถึงพิษภัยจากโลกออนไลน์แล้ว หลายประเทศได้นำแนวทางที่กล่าวข้างต้นไปใช้ในทางปฏิบัติเพื่อลดเวลาหน้าจอของเด็กลงและสร้างภูมิคุ้มกันภัยโลกออนไลน์แก่เด็กทั้งจากปัญหาทางสุขภาพจิตและการหลอกลวงต้มตุ๋นประเภทต่างๆ เป็นต้นว่า
- วุฒิสภาออสเตรเลีย มีมติผ่านร่างกฎหมาย ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2567 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทเทคโนโลยีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกปรับสูงถึง 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท (15)
- สหราชอาณาจักร ยังไม่มีการจำกัดอายุเข้มข้นเท่ากับออสเตรเลีย แต่มีความพร้อมที่จะสร้างความปลอดภัยออนไลน์แก่ประชาชนและกำลังศึกษาถึงผลกระทบจากการใช้โซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก (16)
- รัฐบาลนอร์เวย์ได้เสนอการยกระดับการจำกัดอายุการใช้โซเชียลมีเดียกับเด็กจากเดิมอายุ 13 ปีเป็นอายุ 15 ปี และพ่อ แม่ สามารถระงับการใช้บัญชีโซเชียลมีเดียได้หากพบว่าเด็กอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดใช้โซเชียลมีเดีย (16)
- ประเทศฝรั่งเศสได้ผ่านกฎหมายบังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่เพื่อการเปิดบัญชีของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี (แต่ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ) และภายหลังประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้เสนอให้จำกัดอายุการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียของเด็กที่เข้มข้นขึ้นโดยเสนอให้มีการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 11 ปีและเด็กอายุต่ำกว่า 13ปีห้ามใช้สมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ยังไม่ทราบผลในทางปฏิบัติ) (16)
- ประเทศเยอรมันกำหนดให้เด็กอายุระหว่าง 13-16 ปีสามารถใช้โซเชียลมีเดียได้ด้วยความเห็นชอบของพ่อแม่ (16)
- ประเทศเบลเยี่ยมบังคับใช้กฎหมายให้เด็กสามารถเปิดบัญชีโซเชียลมีเดียได้เมื่ออายุถึง 13 ปี โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ (16)
- ประเทศเนเธอร์แลนด์ยังไม่มีกฎหมายจำกัดอายุการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็ก แต่ห้ามมีอุปกรณ์สื่อสารในห้องเรียนเพื่อไม่ให้เด็กเสียสมาธิระหว่างเรียน (16)
- ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยที่สุดรัฐ 10 รัฐได้ผ่านกฎหมายจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียของเด็กหรือการเปิดบัญชีต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่และอีก 3 รัฐกำลังอยู่ในขั้นตอนของการออกคำสั่ง (17)
- สำนักบริหารงานด้านไซเบอร์ของจีนเสนอให้มีการจำกัดเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กสำหรับวัยต่างๆ เช่น อายุต่ำกว่า 18 ปี ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตระหว่างเวลา 16.00 น. ถึง 06.00 น. เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีใช้อินเทอร์เน็ตได้วันละ 40 นาที วัยรุ่นอายุเกินกว่า 16 แต่ต่ำกว่า 18 ใช้อินเทอร์เน็ตได้วันละ 2 ชั่วโมง เป็นต้น (18)
- โรงเรียนจำนวนหนึ่งในประเทศไทยออกกฎห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในห้องเรียนคล้ายกับประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ข้อจำกัดอื่นๆดูเหมือนว่ายังไม่มีความชัดเจน
เหตุการณ์เด็กหญิงอายุ 14 ปี ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมข้ามชาติเป็นบทเรียนที่ต้องไม่สูญเปล่า อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลไทยต้องส่งเสียงให้สังคมได้รับรู้ว่ามาตรการการป้องกันภัยจากโลกออนไลน์ของเด็กอยู่ในขั้นตอนใดหรือผลการประเมินความเสี่ยงของเด็กไทยจากภัยโลกออนไลน์อยู่ในระดับใด การจำกัดอายุของเด็กในการใช้โซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟนแม้เป็นข้อเสนอแนะที่ดูง่าย แต่เป็นมาตรการที่อ่อนไหวและท้าทายจากปัจจัยหลายประการ เพราะนอกจากอาจพบเทคนิคในการหลีกเลี่ยงการใช้โซเชียลมีเดียของเด็ก การคัดค้านจากเด็กและคนบางกลุ่ม รวมทั้งต้องสร้างทางเลือกให้กับเด็กแล้ว หากจำเป็นต้องออกกฎหมาย ความกล้าหาญของนักการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การออกกฎหมายประสบความสำเร็จ เพราะกฎหมายจำกัดอายุการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียคือกฎหมายที่ขัดใจเด็ก ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรคการเมืองผู้เสนอและเห็นชอบต่อกฎหมายไม่มากก็น้อย เพราะเด็กวัยนี้คือฐานเสียงสำคัญของพรรคการเมืองทุกพรรคต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
อ้างอิง :
1. https://www.thaipbs.or.th/news/content/349694
2. https://www.nationtv.tv/news/crime/378957289
3. https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/240318
4. The Anxious Generation โดย Jonathan Haidt
5. The coddling of the American mind โดย Greg Lukianoff และ Jonathan Haidt
6. https://www.the101.world/we-are-youngster/
7. https://datascihaeng.medium.com/thinking-fast-and-slow-review-96f2f4464900
8. https://isranews.org/article/isranews-article/121249-Pansak-3.html
9. https://www.patrangsit.com/สมองส่วนหน้า-ส่งผลต่อพฤ/
10. https://dmh.go.th/news/view.asp?id=1244
11. Superbloom โดย Nicholas Carr
12. Defend yourself from scammers โดย John Shoufler
13. https://mgronline.com/goodhealth/detail/9640000026174
14. Social Engineering โดย Christopher Hadnagy
15. https://www.thaipbs.or.th/news/content/346731
16. https://www.reuters.com/technology/what-countries-do-regulate-childrens-social-media-access-2024-11-28/
17. https://avpassociation.com/us-state-age-assurance-laws-for-social-media/
18. https://edition.cnn.com/2023/08/03/tech/china-minors-mobile-phone-limits-intl-hnk/index.html
ภาพประกอบ :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา