‘วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์’ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ เล่าเบื้องหลังรับเป็นทนายความสู้คดี ป.ป.ช.ฟ้องละเว้นไม่จ่ายค่ารถอเนกประสงค์ 50 ล. เผยอยู่วงการยุติธรรมเกินครึ่งศตวรรษ เห็น ‘นิพนธ์’ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ลั่นถ้าไม่มั่นใจ คงไม่รับทำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พร้อมด้วย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญในฐานะหัวหน้าทีมทนายความของนายนิพนธ์ และนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวคดีเกี่ยวกับรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ ของ อบจ.สงขลา กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นัดนำตัวส่งฟ้องที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในวันที่ 5 ก.ย.นี้ คดีที่กล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถ 2 คันรวม 50 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายนิพนธ์ ได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า วันนี้ไม่ขอพูดอะไร เพราะพูดเรื่องนี้มากพอสมควรแล้ว และขอให้นายวสันต์เป็นผู้แถลงข่าว
นายวสันต์ กล่าวว่า หลังจากลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2556 แต่ยังเป็นข้าราชการบำนาญศาลยุติธรรม กระทั่งปี 2558 ได้ขอใบอนุญาตทนายความ โดยมีเจตนาที่คิดว่า เรายังอาจจะช่วยเหลือพรรคพวกได้เวลาที่มีคดีความขึ้นมา ตนไม่ได้เปิดสำนักงานอะไร นอกจากทำอยู่เงียบๆ เพราะอาชีพดั้งเดิมตั้งแต่เรียนจบ คือทนายความประจำสำนักงาน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ฝึกงานมาตั้งแต่ปี 2510 เริ่มว่าความเองปี 2511 และเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาปี 2516 ฉะนั้นอาชีพเดิมที่ตั้งเนื้อตั้งตัวได้คืออาชีพทนายความ
นายวสันต์ กล่าวด้วยว่า มีข่าววิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทำนองว่าทำไมลดตัวมาเป็นทนายความ ตนก็ไม่เคยคิดว่าจะมาสู้คดีให้ใครในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะต้องเจียมเนื้อเจียมตัวว่าเคยเป็นประมุของค์กรนั้นมาก่อน แต่ตนไม่ได้เป็นประธานศาลฎีกา ไม่ใช่ประมุขของศาลยุติธรรม ก็คงไม่ได้น่าเกลียดอะไร อีกทั้งมีอดีตประธานศาลฎีกาหลายท่านก็ตั้งสำนักงานทนายความ บางท่านแม้จะไม่ได้ว่าความเอง แต่ท่านก็สำนักงานทนายความเช่นกัน
นายวสันต์ กล่าวต่ออีกว่า ทำไมถึงมารับทำคดีของนายนิพนธ์ สู้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะในสังคมมีคนถูกแกล้ง ถูกรังแกมากพอสมควร ถ้าเราช่วยเหลือพรรคพวกเพื่อนพ้องได้ก็ควรจะช่วย ที่ผ่านมาก็เคยทำคดีสู้กับ ป.ป.ช.มาบ้างแล้ว นอกจากนี้ต้องดูว่าคดีที่จะทำรับทำ คดีมีทางต่อสู้หรือไม่ เขาถูกแกล้ง ถูกรังแกมาหรือไม่ ถ้าหากว่าเขาเป็นฝ่ายผิด คงไม่ไปคันไม้คันมือทำให้ เสียฟอร์มเปล่าๆ ก็ต้องเลือกดูคดีทำ
“ถามว่าผมคุ้นเคยกับนายนิพนธ์มาก่อนหรือไม่ เปล่าครับ แต่ผมคุ้นเคยกับนายสุทัศน์ เงินหมื่น ท่านเป็นรุ่นพี่ผมปีหนึ่ง เรียนกฎหมายด้วยกัน อยู่หอพักใกล้กัน ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันตั้งแต่เรียนหนังสือ นายสุทัศน์ก็เป็นคนแนะนำให้นายนิพนธ์มาลองคุยกับผม” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยู่ในวงการยุติธรรมมาเกินครึ่งศตวรรษ คิดว่าตั้งแต่ปี 2510 ถึงปัจจุบันก็ 50 กว่าปี มองออกว่าใครได้รับความเป็นธรรม ใครไม่ได้รับความเป็นธรรม รูปคดีเป็นอย่างไร พอมองออก เมื่อเอาเรื่องราวมาซักถามข้อเท็จจริงและตรวจเอกสาร ก็เห็นว่า นายนิพนธ์ เป็นผู้หนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตกลงรับเป็นทนายให้
สำหรับคดีนี้ เรื่องก็คือว่า อบจ.สงขลา ต้องการซื้อรถบรรทุกอเนกประสงค์ 2 คัน มูลค่า 40 กว่าล้านบาท ก็มีการประมูลกัน จนกระทั่งมีการทำสัญญาและส่งมอบรถ ผู้ขายก็ขอเบิกเงินค่ารถ ช่วงนั้นมีการร้องเรียนว่า มีการฮั้วประมูล และมีการเปลี่ยนนายก อบจ.ที่ชื่อ นายนิพนธ์ บุญญามณี พอดี เมื่อตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ก็พบว่า บริษัทที่เข้ามาเสนอราคา ถือหุ้นไขว้กันบ้าง ผู้ถือหุ้นเป็นชุดเดียวกันบ้าง ก็น่าสงสัยว่าจะมีการฮั้วประมูล อบจ.สงขลาจึงทำเรื่องถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ขอระงับการจ่ายเงิน เพราะสงสัยว่าจะมีการฮั้วประมูล และ อบจ.ก็ไปแจ้งความ ต่อมามีการร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. เพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งขณะนี้ บริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าฮั้วประมูลนั้น พนักงานอัยการได้ฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 เรียบร้อยแล้ว ได้ข่าวว่า มีจำเลยบางคนหลบหนีไปต่างประเทศ นอกจากนั้นยังปรากฏว่า ป.ป.ช.ยังไปแจ้งความกล่าวโทษบริษัทเหล่านี้เช่นเดียวกัน ในข้อหาฮั้วประมูล ฉะนั้นเบื้องต้น ป.ป.ช.ก็มีความเชื่ออยู่แล้วว่า พวกนี้ฮั้วประมูลจริง
ในอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะบริษัทผู้ขายรถ ร้อง ป.ป.ช. กล่าวหาว่านายก อบจ.กลั่นแกล้งไม่ยอมเบิกจ่ายเงินให้ แล้วฟ้องศาลปกครองซึ่งศาลปกครองบอกว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอถือว่าเป็นการฮั้วประมูล ก็พิพากษาให้ อบจ.จ่ายเงิน แต่ขณะนี้มีการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดว่า ต้องพิจารณาคดีใหม่ เพราะพวกนี้ถูกฟ้องแล้วว่าฮั้วประมูล ซึ่งศาลปกครองสูงสุดยังไม่ได้สั่งคำร้อง คล้ายกับคดีคลองด่านที่ต้องให้ศาลปกครองพิจารณาใหม่ได้ เมื่อมีข้อมูลว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
“มีหลักกฎหมายอยู่ข้อหนึ่งระบุว่า สัญญาที่เกิดขึ้นจากการฮั้วประมูล ศาลฎีกาเคยวางบรรทัดฐานไว้ว่าสัญญานี้เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นคำพิพากษาซึ่งตัดสินก่อนมี พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ตัดสินไว้โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเมื่อปี 2519 ต่อมาก็มีคดีอื่นๆ เดินตามแนวนี้” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อด้วยว่า ถ้านายก อบจ. สั่งจ่ายเงินไปตามสัญญาที่เป็นโมฆะ ท่านก็ตอบได้ว่าผิด เพราะจ่ายเงินไป คนรับเงินก็ปิดบริษัทหนีเลย สัญญาที่เป็นโมฆะ คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมคือ เอารถคืนไป และไม่จ่ายเงิน หาก อบจ.จ่ายเงินไป นายก อบจ.โดนแน่ แต่กรณีนี้ไม่จ่ายเงิน เขาบอกว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ซึ่งก็คือกลั่นแกล้งพวกฮั้วประมูล
“ก็พร้อมที่จะสู้กับ ป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้เกรงใจ ไม่ได้ให้ความชื่นชมอะไรกับ ป.ป.ช.ชุดนาฬิกายืมเพื่อน ผมไม่ได้กล่าวหาหรือแขวะใครนะ เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวย้ำว่า ตนไม่ได้รับคดีจับฉ่าย แต่ดูว่าเรื่องนี้พอสู้ได้ และมีความสำคัญเพราะพรรคพวกถูกรังแกมา
เมื่อถามว่าที่ประกาศว่าพร้อมสู้กับ ป.ป.ช.ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ ป.ป.ช.ใช่หรือไม่ นายวสันต์ ตอบว่า “ผมไม่มีปัญหากับ ป.ป.ช.มาก่อน อย่าง ป.ป.ช.ชุดที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน ผมก็รู้จักหลายคน อย่าง นายกล้าณรงค์ จันทิก เป็นนักเรียนนิติศาสตร์รุ่นเดียวกัน นายภักดี โพธิศิริ เรียนมัธยมห้องเดียวกัน ส่วนนายวิชา มหาคุณ และ นายวิชัย วิวิตเสวี เราเป็นผู้พิพากษารุ่นเดียวกัน ส่วน นายสมลักษณ์ จัดกระบวนพล เป็นผู้พิพากษารุ่นพี่ และ นายใจเด็ด พรไชยา ก็เล่นสนุกเกอร์ในสโมสรเดียวกัน ดังนั้นรู้จักเกือบทั้งหมด ส่วน ป.ป.ช.ชุดใหม่ ไม่ค่อยคุ้นเคย รู้จักเป็นการส่วนตัวแค่บางคน ดังนั้นไม่มีสาเหตุโกรธอะไรกับใคร”
นายวสันต์ กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า คดีนี้ไม่มั่นใจก็คงไม่รับ เรื่องจริงเป็นอย่างไรก็เอาข้อเท็จจริงไปสู้กัน ซึ่งตนพร้อมเดินทางไปศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางตามที่ ป.ป.ช.นัดหมายวันที่ 5 ก.ย.นี้ ทั้งนี้คาดว่า คดีนี้อาจจะเสร็จเร็ว
นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่ง สำหรับคดีนี้ จำเลย คือ นายนิพนธ์ มีภูมิลำเนาอยู่สงขลา คดีนี้เหตุเกิดทั้งหมดที่สงขลา พยานหลักฐานทั้งหมดก็เกิดที่สงขลา แต่ ป.ป.ช.จะฟ้องที่ กทม. อ้างว่าจำเลยมีอิทธิพล ก็แปลกใจเหมือนกัน พอเป็นรัฐมนตรีแล้วมีอิทธิพลในพื้นที่ ตอนสอบสวนก็ไม่ได้คุ้มครองพยานอะไร แล้วคดีประเภทนี้ กฎหมายก็บังคับให้ใช้สำนวนของ ป.ป.ช.เป็นหลัก ฉะนั้น ป.ป.ช.จะหนักใจอะไรเรื่องอิทธิพล การมาฟ้องที่นี่ทำความลำบากให้พยานที่อยู่สงขลาต้องเดินทางมาอีกด้วย
อ่านประกอบ :
- ศาล รธน.นัด 14 ก.ย.วินิจฉัยสถานะรัฐมนตรี'นิพนธ์'ถูกปลดพ้นนายก อบจ.สงขลา ปมไม่จ่ายค่ารถฯ
- 'นิพนธ์'พร้อมรายงานตัวสู้คดี 5 ก.ย.ยันไม่หนี มีตำแหน่ง-ที่อยู่ชัดเจน
- ป.ป.ช.ขีดเส้น 5 ก.ย.ส่งฟ้อง 'นิพนธ์' ไม่มาตามนัด ขอศาลออกหมายจับ
- ตามคาด 'นิพนธ์' ไม่มาศาลฯ -สัปดาห์หน้า ป.ป.ช.หารือออกหมายจับพ่วงขอพ้นตำแหน่ง รมช.
- 'นิพนธ์’อ้างติดงาน ขอเลื่อนฟ้องคดีไม่จ่ายค่ารถฯ - ป.ป.ช.ยันไม่มาขอศาลออกหมายจับ
- อุบเงียบ! 'บิ๊กป๊อก' ให้ 'นิพนธ์' พ้น นายก อบจ.คดี 157 ช่วง มิ.ย.64-เสี่ยงขาดคุณสมบัติ รมต.
- เปิดครบ! ปมซื้อรถอเนกประสงค์ 50 ล.กล่าวหา‘นิพนธ์’ อบจ.สงขลา-เอกชนร้องกันนัว?
- โอนสำนวน อบจ.สงขลาร้องเอกชนฮั้วประมูลซื้อรถเอนกประสงค์ 50 ล.ให้ บก.ป.สอบแทน
- ทวงถามผู้ว่าฯสงขลา อ้างประกาศ มท.ขีดเส้น 30 วันพิจารณาโทษทางวินัย‘นิพนธ์’
- สนง.อัยการปราบทุจริตฯภาค 9 ตั้งคณะทำงานพิจารณาคดี‘นิพนธ์’-ขีดเส้นเสร็จใน 90 วัน
- ป.ป.ช.ส่งสำนวน‘นิพนธ์’ถึงมืออัยการฯภาค 9 แล้ว หลังถูกชี้มูลคดีจัดซื้อรถอเนกประสงค์
- พฤติการณ์ถ่วงเวลา! ป.ป.ช.แจงชี้มูล‘นิพนธ์’-เจ้าตัวสวนแถลงแบบนี้อาจทำ ขรก.สับสน
- ไม่ได้ละเว้น! ‘นิพนธ์’โชว์หลักฐานจาก ตปท.แจงถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถเอกชน
- ป.ป.ช.ชี้มูล‘นิพนธ์’ไม่เบิกจ่ายค่ารถอเนกประสงค์ 50 ล.ให้เอกชน-เจ้าตัวยันไม่ได้ทุจริต
- รอคดีถึงที่สุดก่อน! ‘นิพนธ์’แจงปมเอกชนทวง อบจ.สงขลาจ่ายค่ารถเอนกประสงค์ 2 คัน 50 ล.
- เปิดขุมทรัพย์ 3 บ.กลุ่มพลวิศว์คว้าจัดซื้อรถซ่อมถนน 6 อบจ. 219.8 ล้าน
- บ้านหญิงสาวผู้ถือหุ้น 2 บ.ประกวดราคา'รถซ่อมถนน'อบจ.สงขลา 50.8ล. ซอยเดียวกัน
- เจาะปมจัดซื้อรถซ่อมถนน อบจ. พิษณุโลก 22.4 ล. ก่อนโผล่ “ขอนแก่น” 28.5 ล้าน
- ตามไปดูจัดซื้อรถซ่อมถนน อบจ.ฉะเชิงเทรา แค่ 22.4 ล้าน จากเครือพลวิศว์ฯ
- ชำแหละสารพัดเงื่อนงำ!จัดซื้อรถซ่อมถนน อบจ.สงขลา 50.8 ล้าน
- เปิดหลักฐานมัด!อบจ. ขอนแก่นอ้างอิง“ราคากลาง”ซื้อรถซ่อมถนนจาก 2 บ.กลุ่มเดียวกัน
- อบจ.ขอนแก่นประกวดราคาซื้อรถซ่อมถนนคันละ 28.5 ล.- พบ 2 จว.แค่ 22.4 ล้าน