จุฬาราชมนตรี แจ้งผ่อนปรน 73 จังหวัดให้ละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้งดละหมาดที่มัสยิด
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้ออกหนังสือประกาศจุฬาราชมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าด้วยการละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) ที่มัสยิด (ฉบับที่ 6/2564) โดยมีเนื้อหาว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกเดือนเมษายน 2564 ได้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลได้กำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด เพื่อให้สถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายโดยเร็ว และแม้ว่าการระบาดจะยังคงมีอยู่กอปรกับรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุกเพิ่มขึ้นและเร่งรัดดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุม โดยกำหนดมาตรการควบคุมพื้นที่สถานการณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น
จึงกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1.พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ให้งดการละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) และการละหมาดญะมาอะห์ที่มัสยิด
2.พื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุม จำนวน 73 จังหวัด เห็นควรผ่อนปรนให้มีการปฏิบัติศาสนกิจละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดประสานแจ้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เพื่อพิจารณาร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ในการพิจารณาผ่อนปรนให้เป็นไปตามระดับพื้นที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด
ทั้งนี้หากพื้นที่ใดภายในจังหวัดที่พิจารณาร่วมกันแล้ว เห็นว่า สามารถละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดได้ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ และมาตรการที่ทางราชการกำหนด และประกาศจุฬาราชมนตรีด้วยความเคร่งครัด ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิ การจัดระเบียบผู้เข้ามัสยิด การทำความสะอาดสถานที่ การเว้นระยะห่าง และการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล
โดยมาตรการดังกล่าว ให้ถือปฏิบัติจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ หรือจนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น