ควันหลงจากกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง - เดินเชียร์ลุง" ยังคงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจ แน่นอนว่าฝ่ายที่จัดงานทั้งสองฝ่ายก็ต้องประกาศความสำเร็จ แต่งานนี้ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าอย่างไร ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเกาะติดทุกกิจกรรม พบว่าพื้นที่จัดกิจกรรมแยกเป็นช่วงเช้ากับช่วงบ่าย ในช่วงเช้าจัด "วิ่งไล่ลุง" 28 จังหวัด กระจายกันทุกภาค แยกเป็นภาคกลาง-ตะวันออก 10 จังหวัด เฉพาะกทม.ที่สวนรถไฟ ประมาณ 10,000 คน จังหวัดอื่นๆ อีกรวม 850 คน ภาคเหนือ 5 จังหวัด รวม 720 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด รวม 975 คน และภาคใต้ 6 จังหวัด รวม 503 คน
นับรวมมวลชนร่วมกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ช่วงเช้า อยู่ที่ 13,048 คน
ส่วนในช่วงบ่าย มีการจัดกิจกรรมอีก 12 จังหวัด แต่ซ้ำกับช่วงเช้า 3 จังหวัด จึงเหลือรวมทั้งประเทศ 37 จังหวัด เฉพาะกิจกรรมช่วงบ่ายมีมวลชนรวมประมาณ 900 คน
ฉะนั้นตัวเลขกลมๆ คนร่วมกิจกรรมวิ่งไล่ลุง น่าจะอยู่ที่ 14,000-15,000 คนทั่วประเทศ ส่วน "เดินเชียร์ลุง" ที่สวนลุมพินี ก็มีมวลชนเรือนหมื่นเช่นกัน
ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่ายอดมวลชนที่ร่วมวิ่งไล่ลุง ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ผู้จัด หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังตั้งเอาไว้ ฉะนั้นในระยะสั้น การจะจัดชุมนุมขนาดใหญ่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงยังเป็นเรื่องยาก
มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากชายแดนใต้ก็คือ ใน 37 จังหวัดที่จัดกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" มีจังหวัดปัตตานีรวมอยู่ด้วย และเป็นศูนย์กลางของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้สถานที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะติดทะเลในอำเภอเมืองปัตตานี
จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์ของ "ทีมข่าวอิศรา" พบว่า กิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ที่ปัตตานี ใช้ชื่อกิจกรรมเป็นชื่่อเฉพาะว่า "วิ่งไล่ลุงตานี" มีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 300 คน แต่ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบแฝงไปร่วมกิจกรรมด้วยจำนวนไม่น้อย กิจกรรมจัดขึ้นอย่างรัดกุม เน้นความปลอดภัย มีเครื่องตรวจอาวุธบริเวณทางเข้า และถ่ายรูปนักวิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องจอดรถที่สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี แล้วเดินเท้าประมาณ 1 กิโลเมตรเพื่อผ่านเครื่องตรวจอาวุธด้านหน้าทางเข้าสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ทำให้ต้องขยับเวลาเริ่มวิ่งจากที่กำหนดไว้ 06.30 น.เป็น 07.00 น. จากนั้นก็ออกวิ่งจากลานแอโรบิก และวิ่งในลู่วิ่งภายในสวนสมเด็จฯ จำนวน 2 รอบ ระยะทางประมาณ 4.4 กิโลเมตร บางคนบอกว่าเป็นการเทียบเคียงกับ "ม.44" ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จกิจกรรม มีการแสดงพลังช่วยกันเก็บขยะก่อนกลับบ้าน
"เราต้องย้ายการจัดกิจกรรมจากมัสยิดกลางปัตตานี มาเป็นที่สวนสมเด็จฯ ทำให้สถานที่จำกัด จริงๆ เส้นทางที่ต้องการจัด เป็นเส้นทางสำคัญที่เราต้องการประชาสัมพันธ์จังหวัดปัตตานีไปสู่ข้างนอก แต่เมื่อได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ก็เข้าใจตรงกัน และได้จัดกิจกรรมในสวนสมเด็จฯ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ" ยัสมิน โต๊ะมีนา แกนนำในการจัด "วิ่งไล่ลุงตานี" กล่าว
สีสันของงานวิ่งอยู่ที่ อารีฟีน โสะ หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่สวมเสื้อธีมสีขาว ลายอักษรยาวี แปลเป็นไทยว่า "สู้เผด็จการ" เขาบอกว่า เป็นครั้งแรกของการสร้างบรรยากาศเสรีภาพและประกาศถึงพลังอันบริสุทธิ์ในการแสดงออกทางการเมือง ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย จะมีกิจกรรมไปเรื่อยๆ คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ใช้แค่พลังของตัวเราหรือคนใกล้ตัว หากต้องใช้พลังของคนไทยทั้งหมดในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
สุไลมาน เจะแม แกนนำอีกคนหนึ่ง บอกว่า มีพี่น้องมาร่วมวิ่งจากยะลา สุไหงโก-ลก (นราธิวาส) บางคนแม้ไม่ได้ใส่เสื้อวิ่งไล่ลุง แต่ก็มา ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีเยอะ กิจกรรมนี้เป็นการมารวมตัวแสดงพลังความต้องการตามจุดประสงค์ของงาน ไม่มีการสร้างความเดือดร้อนแก่สังคม ทุกคนเพียงอยากให้สังคมดีขึ้นกว่าเดิม