
แม้จะไม่เหนือความคาดหมาย ว่าสุดท้ายไทยกับกัมพูชาต้องรบกัน...
แต่สิ่งที่หลายคนตะลึงงัน และไม่อยากเชื่อ คือ การจงใจโจมตีเป้าหมายพลเรือน ไม่เว้นกระทั่งโรงพยาบาล ว่ากัมพูชาบ้าเลือดทำไปได้อย่างไร
ย้อนกลับไปประเมินสถานการณ์ผ่านท่าทีของกัมพูชาจากบรรดา “ผู้รู้” และ “กูรูความมั่นคง” สรุปออกไปได้เป็น “บันได 5 ขั้นกัมพูชา” และยืนยันได้ว่า ทุกอย่างเตรียมการมา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

1.กัมพูชาวางแผนให้เกิดการสู้รบไว้แต่แรก
2.ใช้วิธียั่วยุ ล้ำแดน และต้องการให้เกิดการรบจริง ไม่ใช่แค่ยั่วให้โกรธ หรือให้ไทยยิงก่อน แล้ววิ่งไปฟ้องศาลโลก
- เห็นได้ชัดเจนจากการขุดคูเลต เพื่อใช้ในการสู้รบตามแนวชายแดน
- ลอบวางทุ่นระเบิด โดยล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย หวังสร้างความสูญเสีย และกดดันให้ไทยตอบโต้
เป้าหมายให้ไทยเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากใช้ความรุนแรงก่อน และขยายวงเป็นสงครามตามแนวชายแดน เพื่อเพิ่มความชอบธรรมในการดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง จะได้มีอิทธิพลเหนือไทย
3.ใช้มวลชนกดดัน สร้างความปั่นป่วน ตามจุดยุทธศาสตร์ที่ตัวเองวางไว้
- กลุ่มปราสาทตาเมือน ที่ออกมาอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ
- หวังผลสองด้าน คือ ทำให้เกิดความปั่นป่วน เผชิญหน้า และสร้างภาพลวงว่าปราสาทเป็นของตน เนื่องจากมีคนเขมรไปเที่ยวจำนวนมาก
4.เติมอาวุธหนักตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันก็ใช้ “โล่มนุษย์” 2 รูปแบบ เพื่อป้องกันการตอบโต้ของไทย
- อนุญาตให้กำลังพลพาบุตร ภรรยา ไปพักอยู่ด้วยได้ในฐานปฏิบัติการ
- นำฐานปืนใหญ่ไปตั้งในชุมชนพลเรือน
5.เตรียมการ ทั้งภาพถ่าย และเอกสาร เพื่อช่วงชิงการร้องเรียนต่อองค์กรระหว่างประเทศก่อนไทย
เป้าหมายสุดท้าย คือ ให้องค์กรระหว่างประเทศยื่นมือมาไกล่เกลี่ย และทางกัมพูชาจะเสนอให้ใช้ศาลโลกตัดสิน
@@ แฉแผนโล่ห์มนุษย์ 2 รูปแบบ เหลี่ยมเขมรกดดันไทย

รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่ออกมาให้ข้อมูลยุทธการของฝ่ายกัมพูชาว่า “ใช้โล่มนุษย์” ในการกดดันทหารไทย ไม่ให้โจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกัมพูชา โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ และฐานปฏิบัติการทางทหาร
อาจารย์ขยายความประเด็นนี้ว่า กลยุทธ์หรือเล่ห์เหลี่ยมของกัมพูชาที่นำมาใช้ คือ
1.อนุญาตให้กำลังพลของทหาร พาลูกเมียมาอยู่ด้วยที่ฐานปฏิบัติการ
2.นำฐานปืนใหญ่ของตนเองไปไว้ในพื้นที่ชุมชน แล้วเล็งปากกระบอกปืนมาทางไทย เมื่อไทยโดนโจมตี จะลังเลที่จะตอบโต้ เพราะเกรงจะสร้างความเสียหายต่อเป้าหมายพลเรือน
อาจารย์ฐิติวุฒิ สรุปว่า กลยุทธ์ทั้งสองแบบ ถือเป็นการใช้โล่มนุษย์ และฝ่ายกองทัพไทยต้องตระหนักและใช้ประเด็นนี้ตอบโต้ โต้กลับ และประณามกัมพูชา
อาจารย์ฐิติวุฒิ ยังเตือนว่า กลยุทธ์แบบกองโจร จะถูกนำมาใช้ในการรบสงครามตามแบบกับไทย ซึ่งกองทัพไทยต้องระมัดระวัง
@@ ประเมิน 2 ฉากทัศน์ : ฉากจบการสู้รบไทย-กัมพูชา
ด้านหน่วยข่าวความมั่นคง ประเมินสถานการณ์การสู้รบระหว่างกัมพูชากับไทย หลังกัมพูชาเปิดการโจมตีก่อน และชิงฟ้ององค์กรระหว่างประเทศว่าไทยรุกรานจำเป็นต้องตอบโต้
ฉากทัศน์ที่ 1 สถานการณ์จนถึงขณะนี้ชี้ชัดว่าเป้าหมายของกัมพูชาต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ UNSC หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประณามและคว่ำบาตรไทย โดยฝ่ายกัมพูชาส่งเอกสารไปฟ้อง UNSC แล้ว และคาดหวังให้มีการสั่งไทยยุติการโจมตี หรือไม่ก็มีข้อเรียกร้องให้สองฝ่ายยุติการสู้รบ ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะรีบยอมรับ ขณะที่ไทยก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
ฉะนั้นเบื้องต้นจึงประเมินว่า การสู้รบอาจยุติลงภายใน 2-3 วัน โดย UNSC ขอให้ยุติ ซึ่งแนวทางนี้เป็นฉากทัศน์ที่ 1 คือ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาบรรลุผล
ฉากทัศน์ที่ 2 ถ้า UNSC ยังไม่มีมติอะไร การสู้รบน่าจะกินเวลาประมาณ 5-7 วัน แล้วกัมพูชาอาจขอเจรจา เนื่องจากกัมพูชาไม่มีขีดความสามารถในการรบยืดเยื้อ
แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เผยเพิ่มเติมว่า ยุทธวิธีของฝ่ายไทย คือ ตอบโต้ให้ตรงเป้าหมายทางทหารมากที่สุด และเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายทางทหารของกัมพูชาให้มากที่สุด และแข่งกับเวลาก่อน UNSC จะมีคำสั่ง เบื้องต้นคาดว่าการโจมตีทางอากาศช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งฝ่ายไทยล็อกเป้าไว้ก่อนแล้ว ได้สร้างความเสียหายค่อนข้างหนัก เพราะทำให้อำนาจการยิงของกัมพูชาลดลงทันที และเร่งปล่อยข่าวซึ่งเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ไอโอ) ออกมาจำนวนมาก
แหล่งข่าวเผยด้วยว่า ความน่ากังวลของไทยขณะนี้ คือ การดำเนินงานด้านการทูตที่อาจเสียเปรียบ เพราะกัมพูชามีฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 ชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมัน่คงฯ คอยหนุนหลัง แต่ไทยไม่มี
@@ จี้รัฐตั้ง รมว.กห.- รื้อบทบาท ศบ.ทก.-ตัดสัมพันธ์ตระกูลฮุน
ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการพิเศษ เกาะติดสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ทางเนชั่นทีวี ว่า การที่รัฐบาลไทยไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง และไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือว่าขาดผู้นำที่สั่งการได้ตรงๆ ฉะนั้นจึงกลายเป็นคำถามไปยังรัฐบาลว่า ควรมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือยัง เพราะขณะนี้ฝ่ายประจำ คือ กองทัพก็รับผิดชอบแทนเกือบทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองจะต้องเร่งพิจารณา
ขณะเดียวกัน ศบ.ทก. หรือ ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ควรปรับบทบาท เพราะที่ผ่านมาทำหน้าที่เหมือนเป็นแค่ศูนย์รวบรวมข่าวที่เกิดขึ้นมาเล่าให้ฟัง จึงควรมีบทบาทเชิงรุกมากกว่านี้
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา อาจารย์ธนภัทร บอกว่า หลังจากนี้ก็จะมีมาตรการขั้นต่อไป หลังจากที่ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงไปแล้ว ขณะที่ความสัมพันธ์ของครอบครัว โดยเฉพาะ “ตระกูลฮุน” ฝ่ายไทยก็ควรพิจารณาว่าควรตัดความสัมพันธ์หรือไม่ เพราะทูตกัมพูชาที่ถูกส่งตัวกลับ และโพสต์ข้อความไม่เหมาะสม ก็เป็นคนตระกูลฮุนเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์หลังจากนี้ มีแนวโน้มที่ความรุนแรงจะยกระดับได้เหมือนกัน เพราะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีระยะทางยาวกว่า 798 กิโลเมตร จึงมีโอกาสเกิดปัญหาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะทุ่นระเบิดที่ถูกวางไว้ ซึ่งอาจมีบริเวณชายแดนจุดอื่นๆ อีก
