การลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของอดีตนายกฯทักษิณ กลายเป็นการตอกย้ำความล้มเหลวอ่อนด้อยในงานความมั่นคงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ชัดเจนหนักขึ้นไปอีก
เนื่องจากการลงพื้นที่หนนี้ ผู้ที่ร่วมคณะไปด้วย และน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าภาพคือ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง คุณภูมิธรรม เวชยชัย ที่สื่อมวลชนเรียกกันติดปากว่า “บิ๊กอ้วน” และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม อดีตเลขาธิการ ศอ.บต.
แต่สถานการณ์กลับไม่เรียบร้อย สมเกียรติ สมฐานะอดีตนายกฯ หรือส่งสัญญาณสันติภาพได้ตามที่คาด เพราะก่อนหน้าอดีตนายกฯ และรัฐมนตรีคนสำคัญในรัฐบาลจะเดินทางลงพื้นที่เพียงไม่ถึง 1 วัน ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ความรุนแรงที่จงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนถึง 3 เหตุการณ์
คือ ระเบิดหน้า “มินิบิ๊กซี” อ.บันนังสตา จ.ยะลา ตาย 1 เจ็บ 10, ขว้างประทัดยักษ์บริเวณแยกวัดเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส และระเบิดที่รถกระบะของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจอดอยู่ในเขตท่าอากาศยานนราธิวาส โดยสองเหตุหลังไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
เหตุการณ์ที่ตกเป็นข่าวมากที่สุด ทั้งๆ ที่ความเสียหายของเหตุการณ์นี้มีเพียงเล็กน้อย คือเหตุระเบิดรถกระบะในสนามบินนราธิวาส มีสื่อบางแขนงไปรายงานว่าเป็น “คาร์บอมบ์” ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดนั้น แต่ฝ่ายผู้ก่อเหตุก็ต้องการให้เป็นข่าวเช่นนี้อยู่แล้ว
เพราะผลที่ตามมาก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถควบคุม เฝ้าระวัง และป้องปรามการเกิดเหตุรุนแรงได้ ทั้งยังสะท้อนกลับไปถึงประสิทธิภาพการสั่งการและบริหารจัดการงานความมั่นคงของรัฐบาล รวมไปถึงการเลือกตัวผู้รับผิดชอบมาทำหน้าที่ ซึ่งชี้ชัดว่า “มีปัญหา”
เปรียบเทียบกับในอดีต มีบุคคลสำคัญลงพื้นที่ชายแดนใต้บ่อยครั้ง อย่างในรัฐบาลชุดที่้แล้ว “สองลุง” ก็ลงพื้นที่อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เยอะขนาดนี้ (แต่ถ้าจะมองแบบปลอบใจตัวเองว่า เป็นเพราะ อดีตนายกฯทักษิณ มีราคามากกว่าสองลุง จึงคุ้มค่าที่จะลงทุนทำ ก็คงพอได้เหมือนกัน ส่วนความจริงจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ก็คงรู้กันอยู่แก่ใจ)
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศแล้ว 2 ชุด ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 66 ทว่าพวกเขาไม่มี “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ติดมือติดสมองมาด้วยเลย
รัฐบาลทั้งสองชุด ภายใต้การนำของอดีตนายกฯเศรษฐา และนายกฯแพทองธาร แถลงนโยบายเรื่องภาคใต้ด้วยเนื้อหาที่น้อยมาก แทบจะหาสาระอะไรไม่ได้ และไม่มีจุดเปลี่ยนใดๆ ที่จะสร้างความมั่นใจได้ว่าไฟใต้จะดับมอดลงในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในวาระ 21 ปีเหตุการณ์ปล้นปืน (ปฐมบทไฟใต้รอบปัจจุบัน) “บิ๊กอ้วน” แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ เพราะทำมานานกว่า 20 ปียังไม่เห็นแววความสำเร็จ จึงสั่งทบทวนยุทธศาสตร์ โดยมอบหมายให้ สมช. หรือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพ (แปลว่ารัฐบาลในฐานะฝ่ายการเมือง ไม่ได้มียุทธศาสตร์ของตัวเองมา)
แต่ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว การทบทวนยังไม่จบ มีเพียงข่าวกระเซ็นกระสายว่า อาจจะไปฟื้นนโยบาย 66/23 ที่เคยประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์เมื่อ 40 กว่าปีก่อน มาปัดฝุ่นใช้กับปัญหาไฟใต้
ทั้งที่จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในกฎหมายความมั่นคง หรือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ. กอ.รมน.) ก็มีการย่อส่วนนโยบาย 66/23 ใสไว้ในมาตรา 21 เปิดช่องทางให้่กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่ “กลับใจเพราะเคยหลงผิด” สามารถเข้ามอบตัว และเข้ารับการอบรมไม่เกิน 6 เดือนเพื่อเปลี่ยนความคิดความเชื่อ
จากนั้นก็จะยกเว้นโทษในความผิดทุกอย่างที่เคยกระทำ แล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติในครอบครัวและชุมชนของตนเองได้อย่างสงบสุข
มาตรการตามมาตรา 21 เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2553 ผ่านมาถึงปัจจุบัน 15 ปี มีผู้เห็นต่างเข้าโครงการแค่ 8 คน และไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนไฟใต้ได้
เรื่องนี้จึงถูกตั้งคำถามอย่างหนักทันทีว่า ยุทธศาสตร์ใหม่ที่กำลังทบทวน ซึ่งมี สมช. หรือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพนั้น น่าจะไม่ช่วยให้ไฟใต้ดับ และมีแนวโน้มที่การแก้ปัญหาจะล้มเหลวซ้ำเดิม
อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เปรียบเปรยบทบาทของ สมช.ที่เสนอเรื่องนี้ว่า “สภาความมึนงงแห่งชาติ” พร้อมวิพากษ์บทบาทของ สมช.ยาวเหยียด (หาอ่านได้ในเว็บไซต์เนชั่นออนไลน์ และศูนย์ข่าวอิศรา)
หากจับสัญญาณการลงพื้นที่ของอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งย้ำชัดว่าลงใต้ในหมวกของ “ที่ปรึกษาประธานอาเซียน” อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ในห้วงเวลาที่ สมช.กำลังโยนโจทย์ 66/23 เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ดับไฟใต้ ก็พอจะมองเห็นเค้าลางว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังจะทำอะไร
คุณทักษิณเป็นคนคิดไว ทำไว และมองอะไรง่ายไปหมด ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะท่านเป็นคนเก่งและฉลาด แต่ปัญหาบางปัญหา แก้ไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่ท่านคิด
ในอดีต ช่วงรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ น้องสาวของคุณทักษิณ ตัวคุณทักษิณเองเคยบินไปมาเลเซีย แล้วขอให้ทางมาเลเซียจัดแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่พำนักอยู่ในมาเลเซียทั้งหมดมาพูดคุยเจรจา เพราะคิดง่ายๆ ว่า คุยจบ ตกลงกันได้ ทุกอย่างก็คงเรียบร้อย แต่ผลที่ได้คือ “คาร์บอมบ์หาดใหญ่” เมื่อ 31 มี.ค.55
ผ่านมาราวๆ 13 ปี ครั้งนี้คุณทักษิณมามุกเดิม พูดให้ความหวังว่าไฟใต้จะดับปีหน้า
เรื่องนี้คนวงในที่เกาะติดปัญหาใต้ รู้ทันทีว่านัยของคุณทักษิณหมายถึงอะไร และจะทำแบบไหนจึงมั่นใจว่าไฟใต้จะดับ
เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ และรับผิดชอบภารกิจดับไฟใต้ส่วนหนึ่ง ซึ่งก็อยู่ใกล้ตัวคุณทักษิณด้วย มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า หากไทยกดดันหรือขอร้องให้มาเลเซียในฐานะผู้ประสานงานของไทย (ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยสันติภาพ) นำตัวแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งหลายที่อาศัยและปฏิบัติการอยู่ในมาเลเซีย ออกมานั่งโต๊ะเจรจาหรือพูดคุยสันติสุขกับฝ่ายไทยได้ เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ในดินแดนปลายด้ามขวานก็จะจบลง
หรือหากคนเหล่านั้นไม่ร่วมมือ ก็จับกุมหรือเนรเทศออกนอกประเทศมาเลเซียไป แต่หากตกลงกันได้ด้วยดี ก็เปิดช่องให้กลับไทยตามแนวนโยบาย 66/23 ที่จะปัดฝุ่นฟื้นขึ้นมาใหม่
แต่คุณทักษิณและคนใกล้ตัวอาจจะลืมไปว่า กว่า 20 ปีของปัญหาไฟใต้รอบปัจจุบัน ซึ่งเกิดขึ้่นท่ามกลางกระแสก่อการร้าย, Islamization และกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง ได้ทำให้เกิด “นักรบพันธุ์ใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชายแดนใต้ และกลายพันธุ์ไปจากเดิม จนพวกรุ่นเก่าที่พำนักอยู่ในมาเลเซียควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ทั้งหมดอีกต่อไป
คนกลุ่มนี้พร้อมตาย พร้อมพลีชีพ โดยมีเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่กลุ่มใหญ่สนับสนุน และมีกระบวนการคัตเอาต์ ตัดตอน, มีแหล่งกบดาน, มี support site ซึ่งเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดจากการเคลื่อนไหวแบบนักรบกองโจรดั้งเดิม ผสานกับองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านการก่อการร้าย ซึ่งแสวงหาและเลียนแบบได้ทางอินเทอร์เน็ต
ฉะนั้นแม้จะพา “แกนนำรุ่นเก่า” กลับบ้านได้ทั้งหมด ก็ไม่ได้การันตีว่า “นักรบพันธุ์ใหม่” จะหยุดก่อเหตุ
เช่นเดียวกับการเปิดแนวรบทางการเมือง และบนโต๊ะเจรจา ก็มีพลวัตไปมาก และรัฐไทยไม่ได้อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอีกต่อไป ทั้งสนามรบด้วยอาวุธ และสนามรบด้วยการเจรจา
อาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงที่ได้รับการยอมรับสูงมากอีกราย อธิบายเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยยกตัวอย่างการตีความเชิงสัญลักษณ์ของการก่อเหตุรุนแรงสร้างความปั่นป่วนก่อนที่อดีตนายกฯทักษิณจะลงพื้นที่
อาจารย์บอกว่า ถ้าตีความแบบเดิม ก็จะสรุปว่าฝ่ายผู้ก่อการ ซึ่งก็คือ BRN ต้องการดำรงความมุ่งหมายเดิมของตน คือสร้างสถานการณ์เพื่อรักษาสถานภาพ เพื่อยืนยันว่ายังมีตัวตนและเข้มแข็งพอ
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ฝ่าย BRN ทั้งที่นั่งอยู่บนโต๊ะพูดคุย ทั้งที่อยู่ในไทย และที่อยู่ในมาเลเซีย มี “สถานภาพ” ที่ชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องก่อความรุนแรงเพื่อบอกกับสังคมไทยและสังคมโลกอีกว่า “เรายังศักยภาพ มีตัวตน”
ฉะนั้นสิ่งที่เขาทำวันนี้ คือต้องการอำนาจในการต่อรองและการสนับสนุน ทั้งบนโต๊ะเจรจา ทั้งในพื้นที่ ทั้งในองค์กรของตัวเอง และทั้งกับต่างประเทศต่างหาก
ที่สำคัญคือ การต่อรองกับมาเลเซีย เพื่อไม่ให้โดนจับ โดนเนรเทศ (เพราะรู้ว่ากำลังมีข้อตกลงบางอย่างกับรัฐบาลไทย ตามที่ถอดรหัส ถอดนัยจากการลงพื้นที่ของอดีตนายกฯทักษิณ)
อาจารย์ปณิธาน ยังบอกด้วยว่า การต่อรองซึ่งมีหลายระดับ หลายมิติ และมีความซับซ้อน บ่งบอกถึงพัฒนาการที่เข้มแข็งขึ้นมากของ BRN โดยเฉพาะในมิติการเมืองและการต่างประเทศ
สิ่งที่น่าหวั่นใจ คือการประเมินสถานะของ BRN ทั้งจากสถานการณ์ภาพรวมในพื้นที่ และจากโต๊ะพูดคุยสันติสุข จะพบว่า BRN ได้เปลี่ยนความพ่ายแพ้ทางยุทธการหรือทางทหาร ให้เป็นความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ได้แล้ว คือสามารถต่อรอง กุมทิศทาง ขัดขวาง ชะลอเวลา และบางครั้งสามารถชี้นำฝ่ายรัฐระดับสูงของไทยที่นั่งร่วมโต๊ะเจรจาได้เสียด้วย
ส่วนฝ่ายรัฐไทย ถูกเปลี่ยนจากชัยชนะในทางยุทธการหรือทางการทหาร หรือการการดำเนินนโยบายเชิงรุกในพื้นที่ มาเป็นการตั้งรับในเชิงการเมือง การต่างประเทศ และเริ่มเพลี่ยงพล้ำในเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว
ที่สำคัญเรามีแน้วโน้มที่จะต้องสูญเสียอำนาจรัฐส่วนกลาง แบบ unitary state ไปให้กับท้องถิ่น (ในนิยามของข้อตกลงสันติภาพ สันติสุขกับ BRN) โดยจะเป็นการสูญเสียอำนาจมากกว่าที่ควรจะเป็น และไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะขัดกับรัฐธรรมนูญไทยด้วยซ้ำไป
นี่คือสถานะที่แท้จริงของปัญหาไฟใต้ ณ เวลานี้ คือไทยกำลังเสี่ยงจะพ่ายแพ้, สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการสูญเสียอำนาจรัฐและการควบคุมต่างๆ ในดินแดนปลายด้ามขวาน แม้จะยังไม่เสียดินแดนเชิงกายภาพ..ก็ตาม
ทั้งหมดนี้ช่างห่างไกลกับวาทกรรมขายฝันของคุณทักษิณที่ว่า ปีหน้าจะสงบ และเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์...ยิ่งกว่าฟ้ากับเหว!
------------------------------------
หมายเหตุ : บทความนี้ตีพิมพ์ใน คอลัมน์โหมโรง ปกหลัง นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.68 ด้วย