หลังสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มปะทุหนักขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 68 พุ่งเป้าเจ้าหน้าที่ของรัฐชัดเจนขึ้นทุกขณะ
ล่าสุด พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภ.4) เปิดอกคุยกับ “ทีมข่าวอิศรา” โดยบอกว่า ต้องยอมรับว่าในห้วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 64 สถานการณ์ความรุนแรงทวีความรุนแรง และมากขึ้นอีกในห้วงตุลาคม 67 จนถึงปัจจุบัน โดยพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่เป็นหลัก ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง คือ อส. รวมไปถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ให้การช่วยเหลือทางการ
“เรามองว่าการเกิดเหตุที่ผ่านมา ผู้กระทำมีจุดประสงค์เพื่อแสดงความมีตัวตนของขบวนการ” แม่ทัพภาคใต้ ฟันธงในเบื้องต้น
เราถามว่า การก่อเหตุ มีเป้าประสงค์เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยเร่งเปิดโต๊ะพูดคุยฯ หรือไม่ พล.ท.ไพศาล ไม่ตอบตรงๆ แต่ให้ข้อมูลว่า ในส่วนของการเจรจาพูดคุยนั้น รัฐบาลก็มีความพยายามทบทวนเรื่องการเปิดโต๊ะเจรจาพูดคุยมาโดยตลอด และมาเลเซียก็ให้ความร่วมมือกับไทยมากขึ้นตั้งแต่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลมา แต่ทั้งนี้ตนมองว่าการที่จะเลือกบุคคลมาเจรจาก็ต้องถูกฝาถูกตัวด้วย
@@ คุมตัวนักกิจกรรม เหตุบิดเบือนข้อมูลลงโซเชียลฯ
ประเด็นที่หลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจขณะนี้ คือ กรณีที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จับกุมดำเนินคดีกับนักกิจกรรม ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าว “สำนักสื่อวาร์ตานี” สื่อทางเลือกในพื้นที่ชายแดนใต้ จนมีกระแสเรียกร้องจากทั้งภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนบางส่วนให้ฝ่ายความมั่นคงชี้แจงและปล่อยตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข (ล่าสุดปล่อยตัวแล้วเมื่อ 16 ก.พ.)
แม่ทัพภาคที่ 4 อธิบายเรื่องนี้ว่า ห้วงที่ผ่านมามีการใช้สื่อออนไลน์โจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะการปิดล้อมตรวจค้นที่กล่าวหาว่ารัฐละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งๆ ที่เราเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
“ผมอยากเรียนข้อเท็จจริงว่า ในการทำงานขอเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวบุคคลนั้น ก็เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด”
“เช่นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เราเข้าตรวจค้นที่บ้านนาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ปิดล้อมฝ่ายตรงข้ามอยู่และเจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้หลักมนุษยชน โดยดำเนินการจากเบาไปหาหนัก ปิดล้อมเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เป้าหมายออกมามอบตัว แต่บุคคลดังกล่าว (นักข่าวอาสา สำนักสื่อวาร์ตานี ที่ถูกควบคุมตัว) ได้นำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยกล่าวหาว่าบุคคลที่ถูกปิดล้อม 3 คนนั้นเสียชีวิตแล้ว ต่อมาก็นำญาติมากดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจริงๆ ล้วบุคคลเป้าหมายนั้นมาเสียชีวิตในภายหลัง หลังจากพยายามแหกวงล้อมปะทะเจ้าหน้าที่ เราจึงอยากให้ทุกท่านทำความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย”
“นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องในการนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จนทำให้สังคมเกิดความสับสน เช่น การร้องทุกข์กล่าวโทษเกี่ยวกับการรวมตัวที่สายบุรี (เหตุการณ์ชุมนุมแต่งชุดมลายู ที่ชายหาด อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปี 65 ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมองว่ามีพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่น) แต่กลับไปบิดเบือนว่าเป็นการฟ้องเรื่องชุดมลายู นั่นไม่ใช่ ซึ่งรัฐเองก็ส่งเสริมอยู่แล้วเรื่องการแต่งกายมลายู จึงเป็นเรื่องของการยุยงปลุกปั่น ซึ่งเราอยากเรียนว่าการแก้ปํญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราใช้หลักกฎหมายพร้อมๆ กับหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด”
@@ แจงหารือ “คณะผู้นำฝ่ายค้าน” บรรยากาศเป็นบวก
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ คือ ในวันเดียวกับที่มีการจับกุมนักกิจกรรม จากสื่อวาร์ตานี ปรากฏว่ามี คณะ สส.พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน เข้าพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแม่ทัพพอดี และมีข้อเสนอให้ลดการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยใช่หรือไม่
เรื่องนี้ พล.ท.ไพศาล ตอบว่า ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นการรายงานสถานการณ์ตามปกติ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี
@@ ชง 3 ข้อ “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ปี 68”
พล.ท.ไพศาล ยังกล่าวถึงความคืบหน้ากรณี รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายภูมิธรรม เวชยชัย สั่งให้ สมช.ทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ใหม่ ว่า ที่จริงไม่ใช่เป็นการทบทวน แต่เป็นไปตามวงรอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วง 3 ปี ซึ่งในการทบทวนยุทธศาสตร์ใหม่ ทาง สมช.ก็เป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว และก็มีการประชุมพูดคุยกันหลายครั้ง โดยได้มีการประชุมสรุปสุดท้ายในวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดย 3 เรื่องหลักๆ ของยุทธศาสตร์ในปี 68 ที่จะมีการนำเสนอคือ
1.เรื่องการสลายกำลังผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีแนวคิดสุดโต่ง
2.การเสริมสร้างการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
และ 3.การแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นรากเหง้าของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น เรื่องยาเสพติด
อนึ่ง การประชุมทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ประชุมกันไปอีกรอบหนึ่ง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี รองนายกฯภูมิธรรม เป็นประธาน
มีรายงานว่า หัวหน้าส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่ แม่ทัพภาคที่ 4, ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนั้นยังมี ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ รอง ผอ.รมน.ด้วย
เนื้อหาหลักๆ ที่มีการพูดคุยกันคือ แผนการทำงานในปี 2568 ซึ่งยกร่างเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาหารือกันอีกครั้งก่อนประกาศใช้ ส่วนปัญหาที่มีการสะท้อนกันมากที่สุด คือ โครงสร้างการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ยังคงสับสน และไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่มีเอกภาพมากพอ