เปิดปูม “รองโอเล่” อดีตรองนายก อบจ.สงขลา ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด กรณีทุจริตจัดทำหนังสือบันทึกคัดกรองโรค 450,000 เล่ม ราคาสูงเกินจริง ทำราชการเสียหายกว่า 19 ล้านบาท เผยเป็นผู้บริหาร อบจ.ชุด “นายก อุทิศ ชูช่วย” ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเรือนจำ ส่วนเจ้าตัวอำลาวงการไปทำเกษตร
ภายหลัง ป.ป.ช.ภาค 9 เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (รองนายก อบจ.สงขลา) กับพวกรวม 13 ราย กรณีจัดทำสมุดบันทึกการคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือน ของ อบจ.สงขลา ปีงบประมาณ 2556 ตามสัญญาจ้างเลขที่ 165/2556 ลงวันที่ 28 มิ.ย.2556 โดยมีราคาสูงเกินสมควร เป็นไปโดยมิชอบ ทำให้ราชการเสียหาย 19,903,500 บาท
โดยมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 45/2567 เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2567 วาระที่ 3.4 พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง ว่าการกระทำของ นายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 77
ถือเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่อีกหนึ่งคดีที่ ป.ป.ช.ลงดาบ
แถมยังเป็น อบจ.สงขลา ซึ่งผู้บริหาร อบจ.แห่งนี้ถูกดำเนินคดีและอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายอยู่หลายคน
ทำความรู้จัก นายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ หรือ “รองโอเล่” อดีตรองนายก อบจ.สงขลา อดีตเป็นผู้บริหาร อบจ. ในชุดของ นายก อุทิศ ชูช่วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างต้องโทษประหารชีวิตอยู่ในเรือนจำ และคดีทุจริตที่รอพิพากษาอีกหลายคดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา และยังเป็นอดีตคณะบริหารในสมัย นายเคร่ง สุวรรณวงศ์ นักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังของภาคใต้ตอนล่าง ขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศบาลนครหาดใหญ่ด้วย
ปัจจุบัน “รองโอเล่” ผันตัวเองไปประกอบธุรกิจสถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา หลุดออกจากวงการการเมืองท้องถิ่นไปตั้งแต่ปี 2557 ซ้ำยังเก็บตัวเงียบ ใช้ชีวิตทำสวนที่บ้าน
แต่ในทางการเมือง มีข่าวจากคนในแวดวงเล่าให้ฟังว่า ลึกๆ แล้วก็ยังคอยขับเคลื่อนเป็นฟันเฟืองสำคัญให้กับ นายไพร พัฒโน อดีตนายกเทศบาลนครหาดใหญ่ เมื่อครั้งลงสมัคร สส.ล่าสุด เนื่องจากเป็นญาติใกล้ชิด และยังมีคอนเนกชั่น
สอบถามไปยัง ป.ป.ช. ภาค 9 ถึงกระบวนการหลังจากนี้ ได้รับคำตอบว่า ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 9 จะส่งมติไปยังอัยการสูงสูด เพื่อดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายต่อไป โดยคดีนี้อายุความทั้งสิ้น 15 ปี เริ่มนับตั้งแต่กระทำความผิดเมื่อปี 2556 และจะหมดอายุความในปี 2571 เหลือเวลาพิจารณาคดีอีก 4 ปี
อนึ่ง การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด