อัยการสูงสุด สั่งฟ้อง “คดีตากใบ” อีก 1 สำนวน เป็นสำนวนวิสามัญฆาตกรรม - ไต่สวนชันสูตรพลิกศพที่เคยสรุป “ขาดอากาศหายใจ” สุดท้ายฟ้องผู้ต้องหา 8 รายก่อนขาดอายุความแค่ 2 เดือน แต่ไม่มี “พล.อ.พิศาล” อดีตแม่ทัพภาค 4 มีเพียง “พล.ต.เฉลิมชัย” อดีต ผบ.พล.ร.5 พร้อมพลขับและคนคุมรถบรรทุก โดนข้อหาฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะคุมปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 78 ศพ
คดีนี้ อัยการสูงสุดได้รับสำนวนวิสามัญฆาตกรรมและสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลจังหวัดสงขลาจาก พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.2567
ทั้งสองคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2547 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ได้จับกุมตัว นายกามา อาลี กับพวกรวม 6 คน ผู้ต้องหาที่เป็นอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กรณีนำอาวุธลูกซองของราชการที่ใช้คุ้มครองหมู่บ้านไปมอบให้แก่คนร้าย แล้วแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า อาวุธปืนดังกล่าวถูกคนร้ายปล้นไป จึงถูกดำเนินคดีฐานแจ้งความเท็จและยักยอกทรัพย์
ต่อมาในวันที่ 25 ต.ค.2547 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้มีประชาชนเป็นกลุ่มมวลชนประมาณ 300-400 คน มาชุมนุมกันที่หน้า สภ.ตากใบ เรียกร้องให้ปล่อยผู้ต้องหาทั้งหมดทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข และมีประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวลา 13.00 น. พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี แม่ทัพภาคที่ 4 (ในขณะนั้น) ได้สั่งให้เลิกการชุมนุม ซึ่งพื้นที่ อ.ตากใบ ในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่างการประกาศการใช้กฎอัยการศึก รวมทั้งได้ตามกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน บิดามารดาของผู้ต้องหาทั้ง 6 คนมาร่วมเจรจา แต่ไม่เป็นผล โดยผู้ชุมนุมเสนอเงื่อนไขเรียกร้องให้ปล่อยผู้ต้องหาทั้งหมดทันที พร้อมทั้งโห่ร้องขับไล่ยั่วยุเจ้าหน้าที่ เหตุการณ์วุ่นวายได้เพิ่มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผู้ต้องหาที่ 1 ในคดีวิสามัญฆาตกรรม (ยศในขณะนั้น ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 หรือ ผบ.พล.ร.5) ได้เรียกกำลังจากหน่วยต่างๆ และจัดรถยนต์บรรทุก จำนวน 25 คัน มาเตรียมพร้อมสลายการชุมนุม จนกระทั่งในเวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่จึงเข้าสลายการชุมนุมและจับกุมกลุ่มผู้ประท้วงขึ้นรถบรรทุกทั้ง 25 คัน เฉลี่ยคันละ 40-50 คน เพื่อออกเดินทางในเวลาประมาณ 19.00 น. นำผู้ชุมนุมทั้งหมดไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร เวลาประมาณ 21.00 น.
เมื่อนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกปรากฏว่ามีผู้ถูกควบคุมถึงแก่ความตายทั้งหมด 78 คน โดยรถบรรทุกที่มีผู้ถึงแก่ความตาย มีผู้ต้องหาที่ 2, 3, 4, 5, 6 และ 8 เป็นพลขับ โดยมีผู้ต้องหาที่ 7 เป็นผู้ควบคุมขบวนรถ
@@ แยก 2 สำนวน “วิสามัญฯ” - “ขาดอากาศหายใจ”
พนักงานสอบสวน สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรมและสำนวนชันสูตรพลิกศพ โดยทั้งสองคดีมีรายละเอียด ดังนี้
1. สำนวนวิสามัญฆาตกรรม มี พ.ต.อ.พัฒนชัย ปาละสุวรรณ เป็นผู้กล่าวหา มีผู้ต้องหาทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย
พลเอก เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผู้ต้องหาที่ 1
ร้อยตรี ณัฐวุฒิ เลื่อมใส ผู้ต้องหาที่ 2
นายวิษณุ เลิศสงคราม ผู้ต้องหาที่ 3
เรือโท วิสนุกรณ์ ชัยสาร ผู้ต้องหาที่ 4
นายปิติ ญาณแก้ว ผู้ต้องหาที่ 5
พันจ่าตรี รัชเดช หรือพิทักษ์ ศรีสุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 6
พันโท ประเสริฐ มัทมิฬ ผู้ต้องหาที่ 7
ร้อยโท ฤทธิรงค์ พรหมฤทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 8
ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 288 คดีดังกล่าว ซึ่งพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าผู้ต้องหาทั้งหมดปฏิบัติราชการตามหน้าที่
2. สำนวนชันสูตรพลิกศพเกี่ยวกับการตายของผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 78 คนดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี เมื่อปี 2547 และพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดปัตตานี เพื่อไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามขั้นตอนของกฎหมายในปีเดียวกัน
ต่อมาในระหว่างไต่สวน ได้มีการโอนสำนวนมาทำการไต่สวนที่ศาลจังหวัดสงขลา โดยญาติผู้ตายได้แต่งตั้งทนายเข้ามาถามค้านการไต่สวนของศาลด้วย และในปี 2548 ศาลจังหวัดสงขลาได้ไต่สวนเสร็จสิ้น และมีคำสั่งว่าผู้ตายทั้ง 78 คน ตายที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2547 เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย คือ ผู้ตายทั้ง 78 คน ขาดอากาศหายใจ ในระหว่างอยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่
หลังจากศาลมีคำสั่งได้ส่งคืนคำสั่งพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานอัยการ และในปี 2548 พนักงานอัยการได้ส่งเอกสารที่ได้รับจากศาลพร้อมถ้อยคำสำนวนทั้งหมดคืนให้กับพนักงานสอบสวน สภ.หนองจิก เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมสำนวนวิสามัญฆาตกรรมให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณามีความเห็นและคำสั่ง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคท้าย
@@ อัยการพลิกสั่งฟ้อง “เจตนาเล็งเห็นผล”
3. หลังจากอัยการสูงสุดได้รับสำนวนวิสามัญฆาตกรรมและสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลจังหวัดสงขลาจาก พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็น และกำหนดให้ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติม ภายในวันที่ 31 ก.ค.2567
ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ส่งผลสอบสวนทั้งหมดให้กับอัยการสูงสุด ในวันที่ 20 ส.ค.2567
ต่อมา วันที่ 12 ก.ย.2567 อัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนแล้วมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 8 โดยวินิจฉัยว่า จากพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน แม้ผู้ต้องหาทั้ง 8 จะไม่ประสงค์ต่อผลที่จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การจัดหารถเพียงจำนวน 25 คัน ในการบรรทุกผู้ชุมนุมประมาณพันกว่าคน อันเป็นการบรรทุกที่แออัดเกินกว่าจะเป็นวิธีการบรรทุกคนที่เหมาะสม
โดยผู้ต้องหาที่ 1 ที่ 7 รู้อยู่แล้วว่าจำนวนรถกับจำนวนคนไม่เหมาะสมกัน
ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงที่ 6 และที่ 8 ซึ่งเป็นคนขับรถก็เห็นถึงสภาพการบรรทุกผู้ชุมนุมดังกล่าว อันเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้ง 78 คน ขาดอากาศหายใจในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่
การกระทำของผู้ต้องหาทั้งแปดย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายได้
ดังนั้น การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 8 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้อง จึงสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งแปดตามข้อกล่าวหาดังกล่าว
เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่ได้เรียกผู้ต้องหาที่ 1 ถึงที่ 8 มารับข้อกล่าวหาตามข้อกล่าวหา เมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องดังกล่าวแล้ว อัยการสูงสุดได้แจ้งคำสั่งไปยัง ผบ.ตร. เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้ง 8 พร้อมแจ้งสิทธิและพฤติการณ์แห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) มาตรา 134 และส่งตัวให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีต่อไป
@@ เผยคนละสำนวนกับคดีตากใบที่ศาลนราฯรับฟ้อง
สำหรับคดีตากใบที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องล่าสุดนี้ เป็นคนละสำนวนกับคดีตากใบที่ศาลจังหวัดนราธิวาสรับฟัอง เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2567
โดยคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาสรับฟ้อง เป็นคดีที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บยื่นฟ้องเอง และศาลมีคำสั่งประทับฟ้อง หลังกระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง โดยมีข้อหาหลักคือ
- ร่วมกันฆ่าผู้อื่น
- ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น
- ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย
- หน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงเเก่ความตาย
จำเลยที่ศาลจังหวัดนราธิวาสรับฟ้อง มี 7 คน จากที่ยื่นฟ้อง 9 คน นำโดย พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ปัจจุบันเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่ศาลออกหมายเรียกตัวไปดำเนินคดีในระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 6 คนโดนออกหมายจับให้ไปตามนัดสอบคำให้การ วันที่ 15 ต.ค.67
ส่วนคดีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องวันนี้ เป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งหมายถึงการเสียชีวิตในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เป็นอำนาจพิจารณาของอัยการสูงสุดเท่านั้น
โดยผู้ต้องหาที่อัยการสูงสุดมีความเป็นสั่งฟ้อง มี 8 คน เป็นคนละชุดกับคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาสรับฟ้อง มีเพียงคนเดียวที่ตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยทั้งสองคดี คือ พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร อดีต ผบ.พล.ร.5