ความอ่อนไหวของการเมืองระหว่างประเทศ การเผชิญหน้ากันของมหาอำนาจ และกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ซึ่งถูกนิยามว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” ทำให้การวางตัวในเวทีโลก และการแสดงบทบาทต่างๆ หรือแม้แต่การบากหน้าไปขอให้ใครช่วย ในวิกฤตตัวประกันในศึกฮามาส-อิสราเอล…ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถือเป็นความระมัดระวัง และต้องตรวจสอบปูมหลังอย่างรอบคอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์หลายรายทั้งในและต่างประเทศประเมินตรงกันว่า ความตึงเครียดรอบใหม่ในตะวันออกกลาง มีโอกาสสูงที่บายปลายกลายเป็นการฟื้นคืนชีพ “สงครามก่อการร้าย” เหมือนกับช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 9/11
ไทยเองก็ผ่านวิกฤตช่วงนั้นมาอย่างโชคช่วยพอสมควร...
จะว่าไป ประเทศไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งของความไร้ระเบียบ และไม่มีมาตรการที่เข้มงวดจริงจังในการรับมือกับการก่อการร้ายเทียบเท่าประเทศอื่น แต่กลับรับมือกับการก่อการร้ายได้ดีไม่แพ้ชาติใด
แต่คำถามคือ ความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา ยังอธิบายหรือรับรองปัจจุบันและอนาคตได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิด
เราย้อนไปดูสถานะของประเทศไทยในห้วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางการต่อสู้กันของคู่ขัดแย้งต่างๆในโลก ไทยเราอยู่ตรงจุดไหน และมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร
“จุดอ่อน” ของประเทศไทย ซึ่งในบางเรื่องกลับพลิกเปลี่ยนเป็น “จุดแข็ง” ก็คือ
1.ประเทศไทยเข้า-ออกง่าย การตรวจตราไม่เข้มงวด
- สาเหตุหนึ่งมาจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแคมเปญที่ทำกันมาทุกยุค ตั้งแต่รัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้นมา ภายใต้สโลแกน “เวลคัม ทู ไทยแลนด์”
- เจ้าหน้าที่ไทย (บางส่วน) ขึ้นชื่อเรื่องสินบน เงินใต้โต๊ะ
- อุปกรณ์การตรวจจับ เช่น ไบโอเมททริกซ์ ไม่มีการลงทุนอย่างจริงจัง ครอบคลุมเพียงพอ หรือมีโครงการจัดซื้อ แต่ก็ถูกกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่น
- ข้อมูลหมายจับออนไลน์ที่เชื่อมโยงด่านพรมแดนทุกด่าน เพิ่งจะทำได้ครบ 100% ไม่กี่ปีมานี้เอง
2.ฝ่ายความมั่นคงไทยมีนโยบายไม่จับกุม หรือดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวเข้ามาท่องเที่ยว พักผ่อน หรือกบดานซ่อนตัว เนื่องจากไม่ต้องการเป็นศัตรูกับผู้ก่อการร้าย
หากมีการแจ้งเตือนมาจากสถานทูตหรือหน่วยข่าวของประเทศฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้น หากทางการไทยเลือกได้ ก็จะใช้วิธี “สะกิดให้ออกไป”
3.ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และสนามบินสุวรรณภูมิ หรือแม้แต่ดอนเมือง เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค เป็นฮับด้านการคมนาคม เป็นจุดแวะพักและเดินทางต่อที่สะดวกสบาย แหล่งท่องเที่ยวมาก อาหารอร่อย การคมนาคมภายในดีพอสมควร
4.ประเทศไทยมีธุรกิจผิดกฎหมาย อุตสาหกรรมความไม่มั่นคง ครบวงจร
- ใช้เงินซื้อได้แทบทุกอย่าง
- ทำพาสปอร์ตปลอม
- ขายอาวุธ
- เช่าบ้าน เช่ารถ ง่ายดาย
- หานายหน้าซื้อสินค้าต้องห้าม ซื้ออสังหาฯง่าย
- สาวไทยบางส่วนมีรสนิยมชอบชาวต่างชาติ ทำให้หาแฟนง่าย ใช้ผู้หญิงไทยบังหน้า
จากคุณสมบัติ (หรืออาจจะเรียกว่า “โทษสมบัติ”) ทั้งหมดนี้ ทำให้กล่าวกันว่า ไทยเป็นสวรรค์ขององค์กรอาชญากรรม และผู้ก่อการร้าย แต่มักไม่ค่อยเลือกก่อเหตุในประเทศไทย (เพราะเก็บไทยไว้เป็นสถานที่พบปะ กบดาน ซ่อนตัว พักผ่อน)
@@ “ไทย” จุดนัดพบทุกกลุ่ม - แนะช่องทางเจรจา
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและต่างประเทศ ซึ่งเคยเป็น “ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง” มาหลายรัฐบาล และเคยทำงานใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้มากบารมีในหมู่คนทำงานด้านความมั่นคงคนหนึ่ง ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ
1.เรามีช่องทางเยอะมากในการประสานงานช่วยเหลือตัวประกัน ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพียงแต่ต้องพิจารณาสถานการณ์และจังหวะเวลาให้ถูกต้อง
2.สมาชิกหรือแม้แต่แกนนำกลุ่มก่อการร้าย ตลอดจนกองกำลังที่เคลื่อนไหวในประเทศต่างๆ แทบทุกกลุ่มเคยมาเมืองไทย หลายกลุ่มโดนเราจับตัวไว้ เพราะทำผิดกฎหมายไทย นักรบที่ว่าเก่งๆ โดนจับในเมืองไทยเยอะ เช่น
- ฮัมบาลี ผู้นำลำดับ 2 ของ กลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ หรือ เจไอ ซึ่งเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดสถานบันเทิงในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (ระเบิดพลีชีพครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดในสถานบันเทิง) เมื่อปี 2002 และเป็นญาติกับ โอซามา บินลาเดน ถูกจับที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย
- นายวิคเตอร์ บูท มาเฟียเยอรมัน นักค้าอาวุธ เจ้าของฉายาพ่อค้าแห่งความตาย ถูกจับกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย ท่ามกลางการแย่งชิงตัวกันของมหาอำนาจโลก
- กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ฮามาส พยัคฆทมิฬอีแลม เคยถูกจับในไทยมาแล้วทั้งหมด
“กลุ่มฮามาส ก็มีตัวแทนเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทย สันติบาลของเราก็ทราบดี รวมถึงทีมงานของผู้นำอิสราเอล นายเบนจามิน เนทันยาฮู ก็มีสายสัมพันธ์กับคนในรัฐบาลชุดที่แล้ว ผมเองก็รู้จักดี และเคยแนะนำให้ฝ่ายความมั่นคงไปพูดคุย” อาจารย์ปณิธาน เผย
แต่ก็ออกตัวว่า “ทราบว่า นายกฯเศรษฐาตั้ง ‘ทีมพิเศษ’ แนวๆ special force ขึ้นมาเพื่อเจรจาช่วยตัวประกันชาวไทย ซึ่งก็ควรใช้กลุ่มคนที่เรารู้จักมักคุ้นเหล่านี้ แต่ไม่ทราบว่าได้คุยอะไรไปถึงไหนแล้ว เพราะตรวจสอบข่าวไม่ได้เลย”
“เรามีประสบการณ์เยอะ แต่เราไม่พูด ไม่ค่อยได้โฆษณาตัวเอง เพราะมันจะไม่ดีต่อความเป็นกลางๆ ของเรา เนื่องจากเราไม่ได้ขัดแย้งกับใคร…แต่ระยะยาว หรือห้วงเวลาแบบนี้ เราต้องเรียกความมั่นใจด้วยการประสานงานกับกลุ่มเหล่า นี้เพราะเขารู้จักเราดี เขาจะช่วยเรา อย่างน้อยๆ ก็เอาคนไทยออกจากที่ที่เขากำลังจะเริ่มโจมตี ซึ่งขณะนี้เคลื่อนกันอยู่”
นี่อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางความหวัง ซึ่งคงไม่เกินความสามารถของหน่วยงานความมั่นคงไทย
แต่คำถามก็คือ วันนี้ “หัว” มีหรือยัง ทั้งรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการ สมช.
หรือมีนายกฯเศรษฐาคนเดียวก็พอแล้ว...
@@ จาก Truck Bomb ถึง Valentine Bomb
แม้ไทยจะเป็น “สวรรค์ของผู้ก่อการร้าย” และคนเหล่านั้นมักไม่เลือกไทยในการก่อเหตุ เพราะอาจเก็บไว้เป็นสถานที่กบดาน ท่องเที่ยว พักผ่อนระหว่างพักรบ
แต่เรื่องแบบนี้เอาแน่ไม่ได้ วางใจไม่ได้ เพราะคนประเภท “ฮาร์ดคอร์ - สุดโต่ง” รวมไปถึงพวก “เลือดเข้าตา” มีอยู่มาก และอาจปฏิบัติการไม่เลือกพื้นที่
ย้อนอดีต “3 เหตุการณ์ก่อการร้าย” หรือ “ภัยคุกคามรูปแบบใหม่” ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในบ้านเรา แถมผู้ก่อเหตุก็มีชื่อคุ้นหูในวิกฤตการณ์ “ฮามาส-อิสราเอล” เสียด้วย
ตัวอย่าง 3 เหตุการณ์นี้คือเครื่องบ่งชี้ว่า การก่อการร้ายไม่ได้ไกลตัวคนไทย และไทยยังคงเป็น “พื้นที่เสี่ยง” อยู่ทุกเมื่อ
1.เหตุการณ์รถบรรทุกระเบิด หรือ Truck Bomb
- เกิดเมื่อ 11 มี.ค.2537 หรือ 29 ปีที่แล้ว
- นักรบฮิซบุลเลาะห์ วางแผนใช้ Truck Bomb โจมตีสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ในซอยหลังสวน (สถานทูตเก่า ปัจจุบันย้ายแล้ว)
- รถบรรทุกระเบิดเดินทางใกล้จะถึงที่หมายอยู่แล้ว แต่เกิดเฉี่ยวชนกับ “พี่วิน” จยย.รับจ้าง บริเวณแยกชิดลม ผู้ก่อการร้ายที่มากับรถ เห็นท่าไม่ดีจึงทิ้งรถหลบหนี
- ตำรวจเคลื่อนย้ายรถบรรทุกไปไว้ที่ สน.ลุมพินี เพื่อไม่ได้กีดขวางการจราร โดยไม่รู้ว่าท้ายกระบะของรถมีระเบิดซีโฟร์ กับ แอมโมเนียมไนเตรท ผสมน้ำมัน (ระเบิด แอนโฟ่ - ANFO) น้ำหนัก 1 ตัน บรรจุอยู่ในแทงก์น้ำที่ขนมากับรถ
- ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตำรวจจอดรถทิ้งไว้นานหลายวันจึงได้กลิ่นศพของคนขับรถบรรทุกที่ผู้ก่อการร้ายฆ่าปิดปาก ส่งกลิ่นโชยออกมา จึงเข้าไปตรวจสอบ และพบระเบิด โชคดีที่ยังไม่ได้จุดชนวน ทำให้เมืองไทยรอดการเกิด Truck Bomb ครั้งรุนแรง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานั้น (ยังไม่มีไอเอส / อัลกออิดะห์ ยังไม่ดัง) น่าจะถือว่าเป็นระเบิดรถบรรทุกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้
2.เหตุการณ์จับกุม นายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน สัญชาติสวีเดน สมาชิกกลุ่มฮิซบุลเลาะห์
- นายอาทริส เช่าบ้านหลังหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร เก็บสะสมแอมโมเนียมไนเตรท และปุ๋ยยูเรียจำนวนมาก นำไปทำระเบิดได้
- ตำรวจจับกุมนายอาทริส โดยความเข้าใจว่าเป็นชาวต่างชาติเข้ามาทำผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2555
- หน่วยข่าวกรองทราบข้อมูลว่า นายอาทริสเกี่ยวข้องกับการขนส่งอุปกรณ์ประกอบระเบิดไปก่อเหตุนอกประเทศ จึงเข้าร่วมตรวจสอบ
- บ้านเช่าที่สมุทรสาครหลังนี้ เช่าไว้ตั้งแต่ปี 2552 มีสมาชิกกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ เปลี่ยนหน้าแวะเวียนไปพัก, จัดหาสารประกอบระเบิด มีแหล่งซื้อเป็นบริษัทขายปุ๋ยยูเรียของคนไทย แล้วก็ใช้บ้านหลังนี้ประกอบระเบิดด้วย จากนั้นก็ repack (ทิ้งกระสอบ หรือหีบห่อที่ระบุว่าเป็นแอมโมเนียมไนเตรท หรือยูเรีย เพราะจะถูกตรวจสอบ เปลี่ยนแพคเกจเป็นชุดปฐมพยาบาลแทน) ส่งออกไปแอฟริกาก่อน แล้วจึงส่งอ้อมกลับมาที่ประเทศเป้าหมาย คาดว่าใช้ก่อการร้ายโจมตีผลประโยชน์ของอิสราเอลในประเทศต่างๆ รวมถึงในแอฟริกา
- ต่อมาปี 2557 มีการจับกุมสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้อีก 3 คน ระหว่างกำลังสังเกตการณ์สถานที่สำคัญซึ่งเป็นผลประโยชน์ของอิสราเอลในกรุงเทพฯ โดยครั้งนั้นหน่วยข่าวอิสราเอลแจ้งข้อมูลให้ทางการไทยช่วยจับกุม และควบคุมตัวไว้ได้สำเร็จ
3..เหตุการณ์ “วาเลนไทน์บอมบ์”
- จับกุมชาวอิหร่าน 2 คนซึ่งเชื่อว่าเป็นสมาชิกหน่วยรบพิเศษคุดส์ เมื่อวันที่่ 14 ก.พ.2555 ตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี
- 1 ใน 2 คนที่ถูกจับ ขว้างระเบิดไปกระทบกับสายไฟระโยงระยาง (สไตล์ กทม.) แล้วระเบิดสะท้อนกลับมาโดนตัวเองขาขาด ส่วนอีกคนถูกจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนบินออกนอกประเทศ
- สายลับของหน่วยนี้มากัน 3 คน เช่าบ้านหลังหนึ่งระหว่างซอยเอกมัย กับสุขุมวิท 71 (ปรีดีพนมยงค์) ซุกซ่อนระเบิดไว้จำนวนมาก
- ระหว่างรอลงมือ ก็ไปเช่ารถจักรยานยนต์ เตรียมทำระเบิดแบบแม่เหล็กแปะติดรถ (ใช้มอเตอร์ไซค์ลอบเข้าไปแปะระเบิด แล้วซิ่งหนี) เป้าหมายคือรัฐมนตรีอิสราเอลที่จะแวะเยือนไทย ระหว่างทางไปชมแอร์โชว์ที่สิงคโปร์
- มีการไปเช่ารถ ซื้ออุปกรณ์ ไปเซอร์เวย์สถานที่ก่อเหตุเรียบร้อยหมดแล้ว
- เกิดความผิดพลาด ระเบิดที่ซุกไว้ที่บ้านเช่าบางส่วนเกิดระเบิดขึ้น สายลับทั้ง 3 คนกระจายกันหนี
- คนที่หนีออกทางสุขุมวิท 71 พยายามเรียกแท็กซี่ แต่แท็กซี่ไทยไม่ได้จอดทุกคัน จอดหรือไม่จอดขึ้นอยู่กับความพอใจของโชเฟอร์ ไม่ใช่ลูกค้า แท็กซี่คันนี้ไม่จอด ทำให้สายลับโกรธ ปาระเบิดใส่ แต่ระเบิดไม่ทำงาน จึงรีบเดินออกไปปากซอย มีเจ้าหน้าที่ผ่านมา สายลับเห็นจวนตัว ด้วยความโกรธจึงปาระเบิดอีกลูก โดนสายไฟ กระเด้งกลับมาโดนตัวเอง คราวนี้ระเบิดทำงาน จนตัวเองขาขาด ทำให้ถูกจับกุม
- ส่วนสายลับอีกคนโดนจับที่สนามบิน อีกคนหนีไปมาเลเซียได้ และถูกจับเช่นกัน
- มีการสืบค้นข้อมูลทางสื่อ และของหน่วยข่าวกรองพบว่า สายลับอิหร่าน และหน่วยรบพิเศษ ปฏิบัติการโจมตี ลอบสังหารบุคคลสำคัญของอิสราเอล ต่อเนื่องหลายประเทศ ตั้งแต่ปลายปี 2554 ต่อเนื่องถึงปี 2555 ไม่ต่ำกว่า 4 ประเทศ และกรุงเทพฯคือจุดต่อไป แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก่อน ทำให้เหตุการณ์ไม่บานปลาย
ไทยรอดเพราะโชคดี แต่เราจะโชคดีแบบนี้ไปตลอดหรือไม่ หรือว่าถึงเวลาที่จะต้องยกมาตรการรับมือก่อการร้ายอย่างจริงจังเสียที
เพราะไทยอยู่ท่ามกลางเขาควายมานาน แม้แต่วิกฤตตัวประกัน ก็ไม่ง่ายที่จะเจรจา!
-----------------
ขอบคุณ - ภาพข่าวจากไทยรัฐ