เปิดรายงานวิทยุข่าวตำรวจ เผยรายละเอียด กอ.รมน.แจ้งความดำเนินคดีอาญา 4 ข้อหาหนัก เอาผิดคณะผู้จัดงานและผู้ร่วมงานเสวนา “เอกราชปาตานี” ในรั้วมหาวิทยาลัย เปิดชื่อผู้เกี่ยวข้องชุดแรก 5 คน ประธานขบวนนักศึกษาแห่งชาติ อดีตรองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม โดนด้วย
รายงานเหตุ วิทยุข่าวในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่ พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี รายงานถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66 ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา ตำแหน่งประจำกองคดีสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความร้องทุกข์
พฤติกรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เพจเฟซบุ๊ก Patanian Student Movement - Pelajar Bangsa เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กำหนดจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี” ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เวลา 10.00 – 16.00 น. โดยมีรายชื่อผู้ที่จะเข้าร่วมเสวนาตามภาพที่ปรากฏ ทราบชื่อ จำนวน 5 คน เป็นนักวิชาการ ตัวแทนพรรคการเมือง และภาคประชาสังคม
ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เวลา 10.00 – 16.00 ซึ่งเป็นวันจัดกิจกรรมตามที่ได้ประชาสัมพันธ์ พบว่ามีกลุ่ม PELAJARBANGSA (ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเปิดตัวขบวนนักศึกษาแห่งชาติ (PelajarBangsa) และจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self- Determination) กับสันติภาพปาตานี” ที่ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 60 คน
ภายในงานมีการลงทะเบียน และกำหนดให้ผู้เข้าร่วมเข้าคูหาลงแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชาวปาตานี และการออกเสียงทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย มีข้อความว่า "คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย" และมีการแจกแผ่นพับเอกสารแนะนำตัวองค์กร พร้อมประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และมีการเปิดงานมีการอ่านบทกวี สรุปสาระเนื้อหาที่สำคัญ มีใจความพยายามในการปลุกระดมให้ประชาชนชาวมลายูปาตานีอย่าลืมรากเหง้าความเป็นมาและการถูกกดขี่จากอาณาจักรสยาม และพยายามรวมตัวกันมีความเป็นปึกแผ่นสามัคคี เพื่อปกครองตนเอง
ผู้แจ้งจึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย
1.นายอิรฟาน (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
2.นายสารีฟ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
3.นายฮุซเซ็น (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
4.นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส
5.นายฮากิม พงตีกอ ภูมิลำเนา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายชื่อผู้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี ยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องนอกจาก 5 คนนี้ แต่ยังไม่ได้ระบุชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า มีจำนวนมากกว่า 10 ราย รวมถึงพรรคการเมืองด้วย
สำหรับ นายอาเต็ฟ เป็นแกนนำกลุ่ม The PATANI องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นลักษณะนี้อยู่แล้ว ส่วน นายฮากิม เป็นอดีตรองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม เพิ่งถูกมติพรรคสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหลังไปร่วมกิจกรรมสัมนาเอกราชปาตานีที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกันในครั้งนี้
@@ เปิด 4 ข้อหา “ก๊วนประชามติเอกราช”
ข้อหาที่ผู้แทน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดี มี 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ร่วมสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดอันเป็นส่วนของแผนกำรเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 114 ระวางโทษจำคุก 3-15 ปี
2.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยว่าจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
3.เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท
4.สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
**ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ