เปิดแผนประทุษกรรมกลุ่มคนร้ายบุกโจมตีฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลบุดี อ.เมืองยะลา ทั้งขว้างระเบิด-ยิงปืน-ยิงเอ็ม 79 หวังเข้าประชิด แต่ถูกเจ้าหน้าที่ระดมยิงสกัดตอบโต้นานกว่า 3 ชั่วโมง จนต้องยอมล่าถอย ด้านรองแม่ทัพภาค 4 ชื่นชม อส.ชคต.บุดี ส่วนเหตุยิง อส.ที่ตากใบ พบผู้ตายเป็นอดีตพลขับผู้ว่าฯ
ความคืบหน้าเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ และเดินเท้าเข้าไปก่อเหตุขว้างระเบิดชนิดไปป์บอมบ์ พร้อมใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มจุดตรวจ ฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลบุดี (ชคต.บุดี) อ.เมืองยะลา จ.ยะลา ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านนิบง หมู่ 2 ต.บุดี จนเกิดเป็นการยิงปะทะกัน เมื่อเวลา 01.30 น. เช้ามือของวันอาทิตย์ที่ 9 เม.ย.66 นั้น
หลังเกิดเหตุ และเสียงปืนสงบลง เพราะคนร้ายล่าถอยไป อส.อิสมาแอ สะแลแม หัวหน้าชุด ชคต.บุดี พร้อม สมาชิก อส.ได้ตรวจสอบความเสียหายภายในฐาน พบว่าบริเวณห้องครัวมีร่องรอยกระสุนปืน กระจกแตกบางส่วน รวมทั้งมีหลุมระเบิดภายนอกฐาน และรถยนต์ได้รับความเสียหาย 2 คัน จากกระสุนปืนที่คนร้ายยิงเข้ามา
@@ เล่านาทีปะทะเดือด - เพลิงไหม้อาคารร้างนอกฐาน
อส.ท.อิสมาแอ หัวหน้าชุด เล่าเหตุการณ์ว่า เวลาประมาณ 01.30 น. ได้ยินเสียงระเบิด จึงรีบแจ้งไปทางอำเภอ พร้อมทั้งประสานขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรอดูสถานการณ์ สักพักคนร้ายก็ระดมยิงเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 เข้ามาในฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนมีความพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงตะโกนบอกเพื่อน อส.เข้าประจำแนวยิงสกัดกั้น จนทำให้ผู้ก่อเหตุไม่สามารถบุกเข้ามาประชิดฐานได้ โดยได้ยิงตอบโต้กับคนร้ายเป็นระยะๆ ใช้เวลารวมประมาณ 3 ชั่วโมง กระทั่งรุ่งเช้า คนร้ายล่าถอยไปหมดแล้ว จึงเข้าตรวจสอบเบื้องต้นพบคนร้ายยิง เอ็ม 79 เข้ามา 7-8 ลูก ตกในฐานจำนวน 2 ลูก บริเวณห้องครัว ที่เหลือตกบริเวณภายนอกฐาน
ขณะเกิดเหตุภายในฐาน ชคต.บุดี มีกำลังเจ้าหน้าที่ อส. 23 นาย และเจ้าหน้าที่ส่วนปฏิบัติการที่เป็นทหาร 3 นาย ซึ่งทั้งหมดได้ช่วยกันยิงสกัดกันตอบโต้คนร้ายกันอย่างเต็มที่ จนกำลังเสริมเข้ามาช่วย คนร้ายจึงได้ล่าถอยไป ส่วนอาคารที่เพลิงไหม้นั้น เป็นอาคารร้างบริเวณตลาดเกษตร ซึ่งคาดว่าคนร้ายส่วนหนึ่งใช้เป็นจุดหลบซ่อนเพื่อยิงตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ โดยคนร้ายมาทั้งด้านหน้าฐานด้วย แต่เจ้าหน้าที่ยิงสกัดไว้ จึงไม่สามารถข้ามถนนบุกเข้ามาประชิดฐานได้
หลังเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่ ชคต.บุดี ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่ ชคต.บุดี ยังมีกำลังใจดีอยู่กันทุกนาย
@@ รองแม่ทัพชื่นชม อส.ใจสู้ ปกป้องฐานเข้มแข็ง
ต่อมาเวลา 11.30 น.วันเดียวกัน พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พล.ต.ธนัช ฉิมพาลี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา ได้ลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์ โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ EOD และเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และเร่งเก็บวัตถุพยานเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสืบสวนหาตัวคนร้ายต่อไป
โอกาสนี้ พล.ต.ไพศาล ได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทั้งได้สั่งการให้หน่วยปรับแผนปฏิบัติงานอย่างรอบคอบและเข้มงวด ควบคู่กับให้หน่วยหมั่นตรวจสอบและลาดตระเวนพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณรอบฐานปฏิบัติการของชุดคุ้มครองตำบลให้มีความปลอดภัย พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องมีความพร้อม ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท และบูรณาการการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลความปลอดภัยแก่พี่น้องประชาชน รวมถึงในเรื่องของการเก็บรวบรวมวัตถุพยานที่จะนำไปสู่การขยายผลสู่กลุ่มคนร้าย โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าดำเนินการ
@@ คืบหน้าบุกยิง อส.ตากใบ พบเป็นอดีตพลขับผู้ว่านราฯ
ส่นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส (ผบก.ภ.จว.นราธิวาส) พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุยิง นายอับดุลรอนิง แบเลาะ อายุ 51 ปี อาสารักษาดินแดน อส.) บริเวณด้านนอกกำแพงรั้วทางเข้ามัสยิดจาแบปะ หมู่ 7 ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จนเป็นเหตุให้ นายอับดุลรอนิง เสียชีวิต
จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายอับดุลรอนิง ผู้ตาย เป็นอดีตพลขับของ นายเอกรัฐ หลีเส็น อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และปัจจุบันเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จ.นราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าเวรยามที่ป้อมรักษาการจวนผู้ว่าฯ
บริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจพบกองเลือด พร้อมปลอกกระสุนปืนพก ขนาด 9 มม. จำนวน 2 ปลอก และกระสุนปืนพก ขนาด 9 มม. จำนวน 1 นัด จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายอับดุลรอนิง เพิ่งออกเวร และได้เดินทางกลับบ้านของภรรยาในพื้นที่บ้านจาแบปะ ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำประจำทุกวัน โดยหลังจากได้ร่วมรับประทานอาหารในช่วงละศีลอดกับครอบครัวของภรรยาแล้ว นายอับดุลรอนิงได้เดินออกจากบ้านของภรรยาไปยังมัสยิดบ้านจาแบปะ ซึ่งห่างประมาณ 200 เมตร เพื่อประกอบพิธีละหมาด
หลังละหมาดเสร็จ เจ้าตัวได้เดินลงจากมัสยิดเพื่อกลับบ้าน เมื่อถึงบริเวณประตูทางเข้ามัสยิด นายอับดุลรอนิงได้เดินเลี้ยวบริเวณมุมกำแพงรั้ว ปรากฏว่ามีคนร้าย 1 คนยืนรอดักอยู่แล้ว โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนพก ขนาด 9 มม. จ่อยิงนายอับดุลรอนิงในระยะเผาขน จำนวน 2 นัดซ้อน ที่บริเวณศีรษะ 1 นัด และบริเวณหน้าอกด้านซ้าย 1 นัดทะลุชายโครง จนนายอับดุลรอนิงล้มฟุบลงกับพื้น จากนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนพกยิงนัดที่ 3 เพื่อให้มั่นใจว่านายอับดุลรอนิงเสียชีวิต แต่อาวุธปืนเกิดขัดลำกล้อง คนร้ายจึงคัดเอากระสุนออกเพื่อที่จะยิงซ้ำ แต่ชาวบ้านที่ไปร่วมละหมาดในมัสยิดได้ยินเสียงปืน จึงวิ่งกรูออกมาดู คนร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่เพื่อนอีก 1 คนจอดติดเครื่องยนต์รออยู่ ขับหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า มีพยานบางคนที่ไปร่วมละหมาดพบเห็นคนร้ายทั้ง 2 คน ซึ่ง 1 ใน 2 ไว้ผมยาวประบ่า ขี่รถจักรยานยนต์มาสังเกตการณ์ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 วัน แต่ไม่ได้เอะใจ คิดว่าน่าจะมารอพบเพื่อนที่ไปละหมาดบนมัสยิด แต่เมื่อเกิดเหตุยิงนายอับดุลรอนิงเสียชีวิต จึงคาดว่าคนร้าย 2 คนน่าจะเวียนไปดูลาดเลาเพื่อวางแผนลงมือก่อเหตุ
เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เนื่องจากนายอับดุลรอนิง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด ทั้งยังมีอัธยาศัยดี เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนบ้าน