“ทีมข่าวอิศรา” ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของรถกระบะ อีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ 4 ประตู สีดำ ที่คนร้ายใช้ประกอบระเบิดเป็น “คาร์บอมบ์” ถล่มแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจนราธิวาส หลังจากข้อมูลค่อนข้างสับสน ไม่ชัดเจนว่าเคยถูกจับที่ด่านสะปอม อ.เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 6 พ.ย.65 ก่อนเกิดเหตุคาร์บอมบ์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. รวมเวลา 16 วันหรือไม่
ข้อมูลที่ปรากฏผ่านสื่อในช่วงแรกหลังเกิดเหตุ ระบุว่า รถคันนี้น่าจะขับเข้าพื้นที่ อ.เมืองนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. โดยมี น.ส.ฟาติฮะ (สงวนนามสกุล) เป็นผู้ขับขี่ สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ทราบ เพราะรถคันนี้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และ น.ส.ฟาติฮะ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ จึงถูกเปรียบเทียบปรับ และมีกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ ซีซีทีวี บันทึกภาพเอาไว้ได้ โดยภายในรถมีผู้ชายนั่งมาด้วยอีก 1 คน
ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นประเด็นสงสัยว่า น.ส.ฟาติฮะ เป็นใคร เพราะหลังจากวันที่ 6 พ.ย. ก็ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ และไม่ได้จ่ายหลังถูกเขียนใบสั่งด้วย ทั้งๆ ที่โดยปกติน่าจะจ่ายในทันที เนื่องจากภูมิลำเนาของ น.ส.ฟาติฮะ อยู่ใน จ.ปัตตานี ไม่ใช่นราธิวาส
ที่สำคัญหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ เจ้าหน้าที่อ้างว่าติดตามตัว น.ส.ฟาติฮะ ไม่ได้เลย แต่ภายหลังเมื่อข่าวคาร์บอมบ์เริ่มซาลง ก็มีข่าวจากฝ่ายตำรวจว่า ได้เชิญตัว น.ส.ฟาติฮะ มาซักถามแล้ว เจ้าตัวอ้างว่าขายรถไปก่อนเกิดเหตุ ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่ตรงกับญาติทางบ้านของ น.ส.ฟาติฮะ ที่ “ทีมข่าวอิศรา” ตามไปสัมภาษณ์ถึงที่บ้านใน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
แต่ข้อมูลการเดินทางของ “รถคาร์บอมบ์” กลับไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เมื่อ “ทีมข่าวอิศรา” ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รถไม่ได้ถูกจับที่ด่านสะปอม ซึ่งเป็นด่านความมั่นคง แต่เป็นการถูกจับโดยตำรวจทางหลวง และรถก็ไม่ได้ถูกขับเข้า จ.นราธิวาส ในวันที่ถูกจับ ที่สำคัญวันที่มีการจับใบขับขี่ คือ วันที่ 6 ต.ค.65 ไม่ใช่ 6 พ.ย. กลายเป็นว่ามีหลักฐาน น.ส.ฟาติฮะ ขับรถคันนี้ครั้งสุดท้ายก่อนเกิดคาร์บอมบ์นานกว่า 1 เดือน ไม่ใช่แค่ 16 วันตามที่เป็นข่าวครั้งแรก สอดรับกับคำให้การของ น.ส.ฟาติฮะ ที่ว่าขายรถไปก่อนเกิดเหตุคาร์บอมบ์ประมาณ 1 เดือน
“ทีมข่าวอิศรา” ลงพื้นที่จุดที่มีการจับกุมรถกระบะอีซูซุ สี่ประตู สีดำ ซึ่งภายหลังกลายเป็น “รถคาร์บอมบ์” พร้อมตรวจสอบข้อมูลจากตำรวจทางหลวง ได้ความว่า รถคันนี้ถูกจับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ขาขึ้นปัตตานี เลยสี่แยกบ้านลำภู ก่อนถึงยูเทิร์นแรกเล็กน้อย จุดที่ถูกจับอยู่ในท้องที่ ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ต.ค. โดยรถคันนี้ขับมาจาก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส กำลังมุ่งหน้ากลับปัตตานี
ด้าน แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยว่า รถคาร์บอมบ์เดินทางจาก ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ โดยมีการขับเลี่ยงกล้องวงจรปิดมาตามถนนในหมู่บ้าน ไม่ผ่านถนนสายใหญ่ ขับลัดเลาะมากระทั่งเข้าสู่เมืองนราธิวาส และถูกบันทึกภาพได้จุดแรกที่ด่านริมน้ำ ใน อ.เมืองนราธิวาส
แหล่งข่าวคนเดียวกัน ยังบอกด้วยว่า เหตุระเบิดครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ “ภัยแทรกซ้อน” โยงกับเครือข่ายค้ายาเสพติด และก่อนหน้านี้ก็มีปัญหา “คนมีสี” ในนราธิวาสขัดแย้งกันเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา สีดำ กลายเป็นชนวนของการก่อเหตุ
@@ ชาวนราฯ ร่วมพลังต่อต้านความรุนแรง
วันจันทร์ที่ 28 พ.ย.65 ที่บริเวณลานจอดรถภายในแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ จุดเกิดเหตุคาร์บอมบ์ นายอับดุลฮาเล็ม อาแว โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกำปงตาโกะ อ.เมืองนราธิวาส เป็นผู้นำในการละหมาดฮายัต เพื่อขอพรพระเจ้าให้เกิดสันติสุข โดยมีผู้นำศาสนาจากชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาสเข้าร่วมพิธีละหมาด เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่
นอกจากนั้น ในกิจกรรมเดียวกันยังมีนักเรียนและประชาชนร่วมกันถือป้ายประณามการก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ เช่น Stop การก่อเหตุ, ชาวนราธิวาสไม่เอาความรุนแรง, หยุดทำร้ายเมืองนราธิวาส, ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของชาวนราฯ เป็นต้น
นักเรียนหญิงชั้น ม.4 โรงเรียนนราสิกขาลัย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามแฟลตตำรวจที่เกิดเหตุ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับตำรวจและประชาชน โรงเรียนก็ได้รับความเสียหายมากเช่นกัน ขอวอนผู้ที่กระทำให้หยุดทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหา ให้พูดคุยกันดีกว่า จังหวัดของเรากำลังดีขึ้น เศรษฐกิจกำลังพัฒนา แต่ต้องมาแย่ลงเพราะฝีมือของคนกลุ่มเดียว
@@ ผบ.ตร. สั่งเข้ม! มาตรการป้องกันที่พักอาศัยตำรวจ
วันเดียวกัน พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ แฟลตตำรวจอีกครั้งหนึ่ง
พล.ต.ท.สราวุฒิ กล่าวว่า ผบ.ตร.ให้ความสำคัญและสั่งการเพิ่มมาตรการป้องกัน ทั้งที่ทำการหรือที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจ และยืนยันว่าขณะนี้การสืบสวนคืบหน้าตามลำดับ พร้อมขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่สุ่มเสี่ยงในการเกิดเหตุ ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในเรื่องต่างๆ รวมถึงช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลพื้นที่