จากคำให้สัมภาษณ์ของ ผบ.ตร.กรณีหมายจับ "เสี่ยโจ้" หายไปจากสารบบ ที่บอกว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่ต้องถูกสอบข้อเท็จจริงทางวินัย และเรื่องนี้เป็น human error หรือความบกพร่องที่เกิดจากบุคคล ไม่เกี่ยวกับองค์กรหรือหน่วยตำรวจในภาพรวมนั้น
เรื่องนี้ยังมีประเด็นที่เป็นคำถามคาใจจากหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับ "คดีเสี่ยโจ้" และปมประเด็น "หมายจับหายไปจากสารบบ" ดังนี้
1.ท่าทีของ ผบ.ตร. เหมือนกับสรุปเบื้องต้นเป็น "ธง" ให้เดินหน้ากันต่อว่า กรณีนี้เป็นความผิดทางวินัยเท่านั้น ไม่น่าจะมีการกระทำที่เข้าข่ายผิดอาญา ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายมองว่า ถ้าตรวจสอบลึกลงไป เรื่องนี้อาจมีค่าจ้าง หรือค่าน้ำร้อนน้ำชาด้วยหรือไม่
เพราะถ้ามี ย่อมเท่ากับเป็นส่วยสินบน ต้องมีความผิดทางอาญาด้วย แต่ถ้าเอาผิดแค่วินัย ก็จะกลายเป็นความผิดแนวๆ ประมาทเลินเล่อ ไม่ทำตามระบบระเบียบ แบบนี้ก็ส่อว่าจะผิดวินัยไม่ร้ายแรงอีกต่างหาก
2.เรื่อง "เสี่ยโจ้" ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อราชการร้ายแรงหรือไม่ โดยเฉพาะการจับผู้ต้องหาสำคัญ ซึ่งจริงๆ แล้วมีสถานะเป็น "จำเลยหนีโทษจำคุก" ด้วยซ้ำ แต่กลับต้องปล่อยหลุดมือไป เพียงเพราะไม่มีหมายจับในคดีที่ศาลพิพากษาจนถึงที่สุดแล้วให้จำคุก
แบบนี้เท่ากับการลงทุนลงแรงที่จับกุม "เสี่ยโจ้" มาได้ ต้องสูญเปล่าใช่หรือไม่ เพราะปัจจุบัน "เสี่ยโจ้" ก็หนีหายไปแล้ว (งบประมาณที่ใช้ในการสืบจับก็เสียเปล่า ไม่นับงบประมาณที่ใช้ในการทำคดีของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม) ถ้าเรื่องลักษณะนี้ถือว่าส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อราชการ ก็จะเกิดคำถามว่า ลงโทษแค่สอบวินัย ไม่เบาไปหน่อยหรือ
3.ผบ.ตร.พูดถึงเฉพาะ 3 คดีที่ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่ 11 คดีที่จบไปแล้วไม่ได้พูดถึง (คดีที่เกี่ยวกับ "เสี่ยโจ้" เท่าที่ตรวจสอบได้ขณะนี้มี 14 คดีตามคำสัมภาษณ์ของ ผบ.ตร.) ทั้งๆ ที่มีอยู่คดีหนึ่งที่จบไปแล้ว คือคดี "เสี่ยโจ้" หลบหนีจากที่ควบคุมของศาล กรณีหนีจากศาลในวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก และไม่ไห้ประกันตัว เมื่อปี 2557
คำถามคือ คดีนี้ ก่อนที่อัยการจะสั่งไม่ฟ้อง ตำรวจต้องเสนอความเห็นสมควรสั่งฟ้องไปก่อนใช่หรือไม่ แล้วเมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้อง ต้องส่งสำนวนกลับมาให้ตำรวจทำความเห็นว่าจะ "เห็นแย้ง" หรือ "เห็นด้วย" แล้วเหตุใดตำรวจจึงไม่ทำความเห็นแย้ง ไปเห็นด้วยกับอัยการทำไม (เนื่องจากปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว แสดงว่าตำรวจไม่เห็นแย้งอัยการ หรือตำรวจทำความเห็นแย้งไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดชี้ขาดสั่งไม่ฟ้อง เรื่องนี้ต้องเคลียร์ให้ชัด) เพราะต้องไม่ลืมว่า "เสี่ยโจ้" หลบหนีได้ เนื่องจากมีตำรวจพาหนีชัดเจน
4.เหตุการณ์ "ซุกหมายจับ" เป็นความบกพร่องส่วนบุคคล หรือ human error จริงตามที่ ผบ.ตร.บอก หรือแท้ที่จริงแล้วมีความพยายามช่วยเหลือ "เสี่ยโจ้" อย่างเป็นชบวนการกันแน่ เพราะเมื่อปี 2555 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยอื่นๆ เข้าไปค้นบ้านและสำนักงานของ "เสี่ยโจ้" กระทั่งพบบัญชีการจ่ายผลประโยชน์ ซึ่งต่อมามีการเอาผิดนายตำรวจระดับสูงไปหลายนาย
ข้อมูลสำคัญคือ การจ่ายส่วยที่เรียกว่า "จ่ายรายการ" เป็นการจ่ายจากเครือข่ายของ "เสี่ยโจ้" ไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการระบุชื่อหรือหน่วยงานของผู้รับ และจำนวนเงินที่ชัดเจน เริ่มบันทึกตั้งแต่เดือน ต.ค.2554 จนถึงปลายปี 2555 แบ่งเป็นกลุ่มตามจำนวนเงินที่จ่ายรายการ ตั้งแต่หลักล้าน ลงไปถึงหลักร้อย
กลุ่มแรก รายการเกิน 1 ล้านบาท หรือ "รายการหลักล้าน" สูงสุดคือ รายการบิ๊กตำรวจระดับผู้การ จำนวน 12 ล้านบาท, ค่ารายการตำรวจน้ำคนใหม่ 1 ล้านบาท, ค่ารายการของดีเอสไอ โอนให้บุคคลที่ใช้ชื่อย่อ "ล." จำนวน 1 ล้าน 6 แสนบาท
กลุ่มที่สอง หลักแสนบาท ส่วนใหญ่จ่ายให้ตำรวจประจำเรือ มีการระบุชื่อเรือ รวมถึงดีเอสไอ
กลุ่มที่สาม รายการหลักหมื่น ส่วนใหญ่อยู่ในอัตรา 5 หมื่นบาท ส่วนใหญ่เป็น "รายการตำรวจน้ำ" รวมไปถึงช่วยกิจกรรมวันเด็กของตำรวจน้ำ จ่ายเป็นงวดรายเดือนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ที่น่าสนใจ คือ มีค่าดูข่าวที่ศาล 2 หมื่นบาท, มีค่าเมมเบอร์ สำหรับเที่ยวสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ
กลุ่มที่สี่ รายการหลักร้อยถึงหลักพัน ส่วนใหญ่เป็นรายการจ่ายส่วยรายเดือนให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ
เมื่อเรื่องราวของ "เสี่ยโจ้" เกี่ยวข้องกับการ "จ่ายรายการ" หรือ "จ่ายส่วย" ให้กับตำรวจหลายๆ หน่วย และที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้มีการสอบสวนเอาผิดกันอย่างชัดเจน ยกเว้นนายตำรวจระดับสูง 3-4 นายที่โดนดำเนินคดี ที่สำคัญรายการส่วยที่จ่ายไป ยังมีค่าใช้จ่ายถึงขั้น "ค่าดูข่าวที่ศาล" (เหมือนสอดแนมว่าศาลกำลังพิจารณาคดีอะไร มีหลักฐานอะไร) หนำซ้ำตอนหลบหนีจากศาล ก็มีตำรวจพาหนี
แบบนี้ทำให้เกิดคำถามว่า การซุกหมายจับ "เสี่ยโจ้" เป็นแค่ human error จริงๆ หรือ?!?