คดี “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” จัดเป็นอีกหนึ่ง “คดีคลาสสิก” ที่สะท้อนว่ากระบวนการยุติธรรมไทย “ไม่ปกติ” มีคดีจำนวนไม่น้อยที่เบี่ยงเบนได้ ไม่ว่าจะด้วยเงินตรา อำนาจรัฐ หรืออิทธิพล
ดูตัวอย่างคดีของ “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ที่เพิ่งถูกจับ และตำรวจกล่าวหาว่าเป็น “นักค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่” ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ปรากฏว่าตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำธุรกิจที่ส่อว่าผิดกฎหมายหลายอย่าง มีการดำเนินคดีเขาถึง 14 คดี แต่ยังไม่มีคดีไหนเอาเขาเข้าคุกได้เลย
ย้อนดูคดีทั้ง 14 คดี มีทั้งให้การเท็จ เป็นเจ้ามือพนันสลากกินรวบ ค้าน้ำมันเถื่อน ปลอมดวงตราประทับไม้ ปลอมเอกสาร ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดเกี่ยวกับการใช้เรือผิดประเภท จ่ายสินบน รวมไปถึงหลบหนีไประหว่างการคุมขังตามอำนาจศาล
แต่ทุกคดี ไม่มีคดีไหนที่เขาต้องเยี่ยมหน้าเข้าไปในเรือนจำ...
ทั้ง 14 คดี มีถึง 7 คดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ขาดอายุความ หรือไม่สามารถตรวจสอบสถานะของคดีได้
ส่วนที่เหลือบางคดี ก็อยู่ระหว่างออกหมายเรียกครั้งที่ 2 อัยการสั่งสอบเพิ่ม หรือส่งสำนวนไป ป.ป.ท.
ที่สำคัญคือ คดีที่ศาลปัตตานีพิพากษาจำคุก 1 ปี 9 เดือน ในข้อหาใช้ดวงตราประทับไม้ปลอม ซึ่ง “เสี่ยโจ้” หลบหนีไปจากศาล โดยมีตำรวจพาหนี และคดีนี้ “เสี่ยโจ้” ต้องติดคุกเท่านั้น เพราะศาลไม่ให้ประกัน
เมื่อหลบหนีไปก็ไม่ได้อุทธรณ์ คดีจึงน่าจะถึงที่สุด และตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งเป็น “ชุดจับกุม” ก็หวังว่าจะใช้คดีนี้ในการส่งตัว “เสี่ยโจ้” กลับไปคุมขังที่ศาลจังหวัดปัตตานี แต่เชื่อหรือไม่ว่า จากการประสานงานกันอย่างไม่เป็นทางการล่าสุดกลับพบว่า “สำนวนคดีสูญหาย” จึงยังส่งตัวไปติดคุกไม่ได้
นอกจากนั้นยังมีคดีหลบหนีระหว่างคุมขังตามอำนาจศาล (คือไปฟังคำพิพากษาแล้วโทษลงโทษจำคุก 1 ปี 9 เดือน ศาลไม่ให้ประกัน จึงหลบหนี โดยมีตำรวจพาหนี) คดีนี้ สภ.เมืองปัตตานี ทำสำนวน แต่กลับมีข่าวว่าคดีฉกรรจ์แบบนี้ “อัยการสั่งไม่ฟ้อง” โดยให้เหตุผลทำนองว่า ไม่ได้หลบหนีจากที่คุมขังของศาล แต่เดินออกไปเฉยๆ
ข้อมูลเหล่านี้ ทางตำรวจชุดจับกุมได้รับมาอย่างไม่เป็นทางการ และกำลังประสานทำหนังสือเพื่อขอให้ยืนยันกลับมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งหากทั้งหมดเกิดขึ้นจริง ก็จะดำเนินการแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบ ตั้งเรื่องสอบสวน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ประมาทเลินเล่อ หรือมีความพยายาม “อุ้มช่วยกัน”
สำหรับการจับกุม “เสี่ยโจ้” ครั้งนี้ สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าจับกุมเขา แม้จะขึ้นศาล ถูกศาลพิพากษา ก็ยังหนีจากศาลได้ แถมคนพาหนียังเป็นตำรวจ ปลายทางอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
หนีไปไม่กี่ปีก็มีข่าวกลับมาอยู่บ้านที่ปัตตานี หมายจับหลายๆ คดีที่มีอยู่ก็ถูกถอน เพราะตำรวจอ้างว่าเข้ามอบตัวแล้ว และได้รับการประกันตัว โดยไม่ยอมพูดถึงคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ซึ่งตำรวจต้องนำตัวส่งศาลเท่านั้น และหมายจับในคดีหนีจากที่คุมขังของศาล ก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก
เมื่อถูกสื่อมวลชนและสังคมกดดันหนักเข้า สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป และ “เสี่ยโจ้” ก็หายไปจากบ้าน มีข่าวว่าหลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และแอบเข้าไทยเป็นระยะ ในลักษณะ “ผลุบๆ โผล่ๆ” โดยมีเจ้าหน้าที่บางคน บางหน่วยให้ความช่วยเหลือ
แต่แล้วจู่ๆ ตำรวจสอบสวนกลางก็สามารถจับกุมได้ โดยเป็นการจับตามหมายจับคดีนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงหนีภาษี (ค้าน้ำมันเถื่อน) ซึ่งเป็นคดีของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และคดียังไม่ถึงที่สุด ไม่ขาดอายุความ เพราะอยู่ระหว่างอัยการสั่งสอบเพิ่ม
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตอบคำถาม “ทีมข่าวอิศรา” ที่ถามแทนใครหลายๆ คนว่า ทำไมถึงจับกุม “เสี่ยโจ้” ได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครจับกุมเขาได้ และยังเหมือนจะมีข้าราชการระดับสูง ตลอดจนผู้มีอำนาจให้ความช่วยเหลือด้วย
พล.ต.ท.จิรภพ บอกว่า ที่ผ่านมาอาจจะมีใครช่วยเหลือ “เสี่ยโจ้” จนสามารถต่อรองไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้ แต่สำหรับตนแล้ว ต่อรองไม่ได้ คดีนี้เป็นคดีสำคัญ และมีการกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย และยังเป็น “หน้างาน” ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ฉะนั้นเมื่อมีหมายจับก็ต้องจับ ถ้ายังจับไม่ได้ ก็ต้องสืบสวน เพื่อหาตัวมาให้ได้
งานนี้ต้องลุ้นว่า ศาลจะให้ประกัน “ปล่อยชั่วคราว” หรือไม่ และเงื่อนงำในคดีต่างๆ ทั้งสำนวนหาย อัยการสั่งไม่ฟ้อง จะถูกรื้อเพื่อเอาผิด “ขบวนการอุ้มช่วยเสี่ยโจ้” หรือไม่
ต้องติดตาม!