เหตุกราดยิงที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.โฆษิต อ.ตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้นคือ เด็กหญิงวัยเพียง 8-9 ขวบ และบาดเจ็บอีก 2 รายนั้น
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์ที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเป้าหมาย ทำให้ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่เกิดเหตุทันที พร้อมประณามคนร้ายที่ปฏิบัติการอย่างไร้มนุษยธรรม ขณะที่ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี วิงวอนให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน
คราบน้ำตาผู้เป็นโยมพ่อและโยมแม่ จากเหตุการณ์ “ยิงเณรมรณภาพ” ที่หน้าวัดกุหร่า อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ยังไม่ทันเหือดหาย ล่าสุดคนร้ายเปิดปฏิบัติการสังหารคนชรา และพี่น้องไทยพุทธอีกหลายศพช่วงเย็นถึงค่ำที่ผ่านมา
เหตุรุนแรงหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงปักษ์หลังของเดือน เม.ย.68 โดยเฉพาะกรณีกระทำกับ “กลุ่มอ่อนไหว-เปราะบาง” ทั้งชาวบ้านไทยพุทธ และเณร ถูกระบุว่ามีต้นตอมาจากเหตุคนร้ายลอบยิง นายอับดุลรอนิง ลาเตะ
สถานะความเป็น “เมืองชายแดน” ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หรืออาจรวมถึง 5 จังหวัด) ไม่ได้มีปัญหาเฉพาะการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบที่กระทบสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเท่านั้น
ปฏิบัติการดับเครื่องชนของ พ.ต.อ.วีรยุทธ ตาสีพันธุ์ อดีตผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.โคกเคียน จ.นราธิวาส ทั้งการแถลงตอบโต้ผู้บังคับบัญชากรณีสั่งย้ายตน หลังเกิดเหตุโชเล่ย์บอมบ์ และการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชา ในข้อหาบุกรุกบ้านพัก ทำให้เจ้าตัวถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งมีแนวโน้มถึงขั้นโดนโทษทางวินัย
ศึกตำรวจชายแดนใต้ยังไม่จบ หลังมีคำสั่งย้ายอดีตผู้กำกับการ สภ.โคกเคียน จ.นราธิวาส ออกจากตำแหน่งแบบขาดจากตำแหน่งเดิม โดยอ้างเหตุระเบิด “โชเล่ย์บอมบ์” บริเวณกำแพงรั้วแฟลตตำรวจของโรงพัก และเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้งในพื้นที่ เข้าข่ายปล่อยปละละเลย
เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในห้วง 21 ปี เหตุการณ์กรือเซะ คือ คืนก่อนวันที่ 28 เม.ย.68 และช่วงเช้าของวันที่ 28 เม.ย. ล้วนอุกอาจและก่อความสูญเสียอย่างรุนแรง
ห้วงเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นถึง 3 เหตุการณ์ โดยเป็นการโจมตีที่พุ่งเป้าเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้ง อส. และตำรวจตระเวนชายแดน โดยเหตุเกิดในวันสัญลักษณ์ 21 ปีเหตุการณ์กรือเซะ
คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมกลุ่ม BRN ซึ่งเป็นขบวนการติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จึงก่อเหตุรุนแรงได้ไม่หยุด และไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะเรื่องของการ “สูญเสียมวลชน”