
“ทีมข่าวอิศรา” ได้ตั้งข้อสังเกตุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง พื้นที่จังหวัดสงขลา จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่ ตั้งแต่วันแรกที่ประกาศว่า “ผิดฝา ไม่ถูกตัว” ใช่หรือไม่
เพราะบาดแผลจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ชายแดนใต้ ยาวนานกว่า 20 ปี ต่ออายุขยายเวลามากกว่า 80 ครั้ง สะท้อนว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นเหมือน “ดาบสองคม”
ที่น่าฉงนยิ่งขึ้น คือ มีการมอบหมายให้ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” (ผบ.ทสส.) เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จากนั้นจึงมีการประกาศโครงสร้างตามมาในราชกิจจานุเบกษา แต่กลับมีปัญหาตามมา กล่าวคือ
1.โครงสร้างตาม พ.ร.ก.ที่มี ผบ.ทสส.เป็นหัวหน้า ขึ้นตรงกับนายกฯ หรือขึ้นตรงกับวอร์รูมส่วนกลาง เพราะรัฐบาลมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย หรือ ศป.กฉ. เป็น “วอร์รูม” ที่ทำเนียบรัฐบาลขึ้นมาอีก แถมมีฝ่ายการเมืองอย่าง ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ
2.ผบ.ทสส. มีหน่วยงานใดเป็น “มือไม้ - มือทำงาน” เพราะถ้าย้อนไปตอนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุมม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 53 มีการตั้ง “ศอฉ.” หรือ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มาเป็นหน่วยคุมการปฏิบัติ และมีฝ่ายการเมืองรับผิดชอบโดยตรง เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็น ผอ.ศอฉ. (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)
หรือการประกาศ พ.ร.ก.ที่ชายแดนใต้ ก็มี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยธุรการ และหน่วยยุทธการ
3.มีการตั้งกองบัญชาการส่วนหน้าซ้ำซ้อน โดยเฉพาะกรณีของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรมว.เกษตรฯ มีอำนาจสั่งทหารได้ (แถมตะโกนดุทหาร) แต่ตามโครงสร้างจริงๆ เมื่อมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดต้องสั่ง “ผู้กอง” มากกว่า
4.โครงสร้างตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซ้อนทับโครงสร้างตามกฎหมายปกติคือ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งนายกฯ และรมว.มหาดไทย ต้องรับผิดชอบ แถมเป็นคนเดียวกัน
ทำให้เกิดคำถามว่า งานนี้ประกาศ พ.ร.ก.เพื่อลอยตัวพ้นผิดหรือไม่ เพราะมีเกราะป้องกันตามกฎหมาย ไม่ให้ถูกฟ้องร้องเอาผิด
5.การตั้ง ผบ.ทสส. มานั่งเป็นหัวหน้าแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีข่าวว่าเป็นเพราะต้องการ “ตัดวงจรแม่ทัพภาค 4” ซึ่งไม่รู้พื้นที่ เพราะย้ายไปจากรองแม่ทัพภาคอีสาน สะท้อนปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่คำนึงถึงแต่ “รุ่นและพวกพ้อง” เป็นหลัก
ล่าสุด หลังการเสนอประเด็นนี้ของ “ทีมข่าวอิศรา” ปรากฏว่ามีสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ตลอดจนนักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิ ออกมาวิจารณ์เรื่องนี้จำนวนมาก ทำให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการในการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องออกมาชี้แจง
สรุปว่าการใช้กฎหมายพิเศษดังกล่าว มีความมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้
- มุ่งเน้นช่วยชีวิต ช่วยเหลือประชาชน เป็นกรณีเร่งด่วน ถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด
- การช่วยอย่างเร่งด่วนจำเป็นต้อง ดำเนินการ อย่างรวดเร็ว โดยลดขั้นตอนกฎระเบียบต่างๆ ให้มากที่สุด
- สามารถที่จะบูรณาการทุกภาคส่วน ทหาร ตำรวจ ฝ่ายพลเรือนและภาคเอกชน
- ระดมสรรพกำลังทรัพยากรทั้งเครื่องมืออุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ รวมถึงงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีขีดจำกัด
- ให้ฝ่ายความมั่นคงจัดระเบียบและควบคุมมิให้มีการฉวยโอกาสซ้ำเติมประชาชน หรือคนร้ายก่อเหตุขโมยทรัพย์สิน หรือการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเกินควร
- มีการโอนอำนาจตามกฏหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้นายกรัฐมนตรีเพื่อลดขั้นตอนการบังคับใช้ตามกฎหมายปกติ นำไปสู่การบังคับใช้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ
- หากสถานการณ์มีแนวโน้มยกระดับไปสู่ภัยพิบัติอื่นๆ ที่ตามมา เช่น ดินถล่ม และน้ำหลากซ้ำ จะได้ดำเนินการโดยทันที
- เกิดเอกภาพในการบูรณาการข้อมูลและการสื่อสารของภาครัฐ ทั้งภาคการเมืองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานส่วนภูมิภาค และรัฐบาล ได้สื่อสารไปในทิศทางเดียวและเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำคัญ ซึ่งประชาชนควรรับรู้
โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมสื่อมวลชนในการให้ข้อมูลข่าวแก่ประชาชน!
ดูเหมือนคำอธิบายของ สมช. ไม่ได้ตอบคำถามที่ประชาชนข้องใจ!
