
หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยุบสภา ผลกระทบที่ตามมาในบริบทของฝ่ายนิติบัญญัติ ดูจะรุนแรง ทั้งทางกว้างและทางลึก
รัฐธรรมนูญ มาตรา 147 วางหลักเอาไว้ว่า ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ หรือที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว แต่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้เป็นอันตกไป
เพจ iLaw ให้ข้อมูลเสริมว่า การยุบสภาส่งผลให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังพิจารณาอยู่ในวาระสอง และชุดร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคประชาชนที่กำลังรอพิจารณาในวาระหนึ่งอีก 17 ฉบับ มีอันต้องตกไป
นอกจากนี้ยังมีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่กำลังพิจารณาอยู่ในรัฐสภาประมาณ 88 ฉบับก็ต้องตกไปด้วยเช่นกัน
โดยหนึ่งในนั้น คือ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ... หรือที่เรียกันว่า “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษป่าทับคน” รวมอยู่ด้วย
หลายฝ่ายบ่นเสียดายที่ “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษป่าทับคน” มีอันต้องตกไป เพราะถือเป็นกฎหมายประวัติศาสตร์ที่จะช่วยนิรโทษกรรมและล้างมลทินให้กับประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากไร้ที่ถูกประกาศเขตป่าและอุทยานแห่งชาติทับที่ดินทำกิน ทั้งๆ ที่หลายรายอยู่อาศัยมาก่อนป่า และมีมติคณะรัฐมนตรีให้งดเว้นการดำเนินคดี แต่ก็ไม่แคล้วถูกจับติดคุก ถูกยึดที่ดิน
ร่างกฎหมายฉบับนี้ สภาผู้แนราษฎร “รับหลักการ” ในวาระแรก และมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาในวาระสอง และเพิ่งลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ ต.สุไหงปาดี อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.68 ที่ผ่านมานี้เอง
อ่านประกอบ : “กมธ.ป่าทับคน” บุกนราฯ - ตะลึงปัญหา “วัดวา - พระดัง” ยังถูกป่ารุก!
เพราะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรทับซ้อนกับเขตป่ามากที่สุดพื้นที่หนึ่ง โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส กับเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
ความร้ายแรงของปัญหาที่สังคมอาจไม่ค่อยได้รับรู้ก็คือ แม้แต่วัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปี ยังกลายเป็นเขตป่าที่เพิ่งประกาศเป็นกฎหมายเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง
การรับฟังความเห็นที่ อ.สุไหงปาดี จึงทำให้ได้รับทราบปัญหาเพิ่มขึ้นอีกมาก นอกจากอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดีแล้ว ยังมีทับซ้อนกับเขตป่าสงวนแห่งชาติ, ป่าลุ่มน้ำบางนรา, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และนิคมสหกรณ์ปิเหล็ง เป็นจำนวน 1,528 ราย คิดเป็นเนื้อที่รวมทั้งหมด 11,765 ไร่

โดยปัญหาที่พบแบ่งออกเป็น 5 ปัญหาใหญ่ ดังนี้
1.ที่ดิน ที่ทำกินชาวบ้านทับซ้อนป่า ป่าสงวน และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
2.ที่ดิน ที่ทำกินชาวบ้านในเขตสหกรณ์นิคมปิเหล็ง ซึ่งมี สกน.3 และ สกน.5 ไม่สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น นส.3 หรือ นส.4 ได้
3.โครงการจัดที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้สำรวจแล้วเสร็จ และขณะนี้ผ่านมาหลายปี แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
4.ประชาชนที่ทำกินในพื้นที่เดิม ซึ่งอยู่ก่อนประกาศเขตป่า ถูกจับและถูกดำเนินคดี
5.ปัญหาน้ำท่วมจากคลองตื้น ต้องขุดลอกอย่างน้อย 6 กิโลเมตร มีงบประมาณแต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะผ่านพื้นที่ป่าที่ประกาศทับที่ทำนา 800-900 ไร่
ปัญหาที่พบยังร้ายแรงขึ้นไปอีก เมื่อการประกาศพื้นที่ ต.สุไหงปาดี ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และเขตสงวนรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ส่งผลโดยตรงต่อที่ดินทำกินของชาวบ้าน โดยเฉพาะ “ทุ่งนาปากล่อ” ซึ่งเดิมเป็นแหล่งผลิตข้าวหลักของตำบล เคยสามารถทำนาได้มากกว่า 1,000 ไร่ แต่หลังพื้นที่ถูกกำหนดเป็นเขตอนุรักษ์ และจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมจากคลองตื้นเขินและข้อจำกัดในการปรับปรุงพื้นที่ ทำให้เหลือพื้นที่ทำนาได้จริงเพียง 200 ไร่เท่านั้น

ทั้งนี้ หลังจากคณะกรรมาธิการฯ รับฟังปัญหามา ซึ่งปรากฏว่ามีปัญหามากมายกว่าที่เคยศึกษาและรับรู้มาก่อนมาก จึงได้เตรียมปรับปรุงร่างกฎหมายและข้อมูลต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกสภาพปัญหา เพื่อให้เป็นกฎหมายที่สามารถอำนวยความยุติธรรมสูงสุดแก่ประชาชนตามเป้าหมายที่หวังไว้
แต่สุดท้ายความหวังก็พังทลาย เพราะเมื่อมีการยุบสภา ทำให้ร่างกฎหมายตกไปโดยอัตโนมัติ
สำหรับการทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีการจัดประชุมรวม 14 ครั้ง และได้มีการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานภาครัฐจำนวน 3 ครั้ง ในจังหวัดสำคัญ ได้แก่ จ.นครราชสีมา จ.ภูเก็ต และ จ.นราธิวาส ซึ่งวันที่ 11 ธ.ค.68 ได้ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ครั้งที่ 14 พิจารณาและมีมติ “เห็นชอบร่างรายงานของคณะกรรมาธิการฯทั้งฉบับ”
พ.ต.อ.ทวี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวกับกรรมาธิการทุกคนที่ร่วมทำงานด้วยกันมาหลายเดือนว่า แม้จะมีการยุบสภา แต่ผลงานของเราครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ที่มีค่า เป็นหลักฐานทางนิติบัญญัติ ทางวิชาการ และจะเป็นจารึกทางประวัติศาสตร์
“ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำไม่มีอะไรล้มเหลว เพราะสิ่งที่ล้มเหลวคือสิ่งที่เราไม่ได้ทำ” พ.ต.อ.ทวี ระบุ
มีรายงานว่า กรรมาธิการทุกคนที่ได้ร่วมกันทำงาน ต่างพากันรู้สึกเสียดายที่ร่างกฎหมายตกไป เพราะทุกคนเข้าใจตรงกันหมดแล้วว่า กฎหมายไม่ได้เอื้อนายทุนตามที่เคยมีการโจมตี แต่มีเจตนาเพื่อช่วยชาวบ้านและปลดล็อกปัญหาที่ดินทำกินจริงๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 147 วรรคสอง
“บรรดาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบที่ตกไปตามวรรคหนึ่ง ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไป ถ้ารัฐสภาเห็นชอบด้วยก็ให้รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไปได้ แต่คณะรัฐมนตรีต้องร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป”
ถือเป็นโอกาสที่รัฐธรรมนูญเปิดเอาไว้ แต่ก็ต้องวัดใจรัฐบาลชุดต่อไป ว่าจะยืนยันเพื่อ “คืนชีพกฎหมาย” หรือปล่อยให้หายไปกับสายลมการเมือง
อ่านประกอบ : เร่ง กม.นิรโทษ “ป่าทับคน” (1) ปลดล็อกช่วยคนนับล้าน
