
เมื่อเร็วๆ นี้ สภาผู้แทนราษฎรได้รับหลักการร่างกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่ดินทั้งระบบ โดยเฉพาะที่ดินรัฐที่ไปทับซ้อนกับที่ดินของชาวบ้าน หรือที่เรียกว่าปัญหา “ป่าทับคน”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มาตรการในลักษณะ “ทวงคืนผืนป่า” แม้ด้านหนึ่งจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ไม่ให้ถูกทำลาย แต่อีกด้านก็ทำให้ชาวบ้านตาดำๆ ถูกดำเนินคดีนับล้านคน
โดยเฉพาะการดำเนินการภายใต้กลไกที่เหลื่อมล้ำ และมีกฎหมายบังคับสารพัดฉบับ แต่กลับไม่มีเอกภาพ และไม่มีคำตอบสุดท้ายที่ยอมรับกันทุกหน่วยงานได้เลย
ร่างกฎหมายที่ว่านี้คือ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ... หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ร่างกฎหมายนิรโทษป่าทับคน”
สถานะปัจจุบันของร่างกฎหมายอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระ 2 โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย ร่วมกับ นายซูการ์โน มะทา สส.ยะลา เลขาธิการพรรคประชาชาติ ซึ่งพรรคเป็นผู้ร่วมเสนอร่างกฎหมายกับ สส.พรรคประชาชน

พ.ต.อ.ทวี เรียกประชุมคณะกรรมาธิการฯ (กมธ.) นัดแรกไปแล้ว และวางนโยบายให้เร่งพิจารณาให้จบ เพื่อส่งร่างกฎหมายกลับเข้าสภาให้ผ่านวาระ 2-3 ก่อนยุบสภา เพื่อกฎหมายดีๆ จะได้ไม่ตกหายไป
พร้อมยืนยันว่า นี่ไม่ใช่กฎหมาย “นิรโทษกรรมสุดซอย” เหมือนที่บางฝ่ายคัดค้าน โดยกลุ่มที่คัดค้านบางคนถึงกับบอกว่า เป็นการเปิดทางอุ้มนายทุน หรือเปิดช่องให้คนไปแห่บุกรุกที่ดินของรัฐรอไว้ก่อน เพื่อหวังให้ได้ที่ดินของรัฐมาครอบครองหลังกฎหมายบังคับใช้
สส.พรรคประชาชน และพรรคประชาชาติ ยืนยันว่า ในความเป็นจริงแล้วข้อกังวลนี้จะไม่เกิดขึ้น และทำไม่ได้ กฎหมายไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น เนื่องจากมีกรอบกำหนดไว้อย่างรัดกุม
สำหรับฝ่ายที่คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ มีทั้ง สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ที่นำโดย นายจีรศักดิ์ ชูความดี ซึ่งได้จัดประชุมและทำเอกสารคัดค้านมายื่นต่อ กมธ.แล้ว นอกจากนั้นยังมีภาคประชาชนอีกบางกลุ่มร่วมคัดค้านด้วย
“กฎหมายฉบับนี้เป็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและล้างมลทินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีประกาศพื้นที่ป่าทับที่ทำกินของประชาชนที่อยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา ไร้ที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ทำให้มีประวัติอาชญากรรมติดตัว ส่งผลกระทบให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ จึงเป็นการสมควรนิรโทษกรรมและล้างมลทินให้แก่ประชาชนและคืนสิทธิในที่ดินทำกินให้ผู้ที่อยู่ก่อนการประกาศที่ดินของรัฐ” พ.ต.อ.ทวี กล่าวระหว่างชี้แจงหลักการของร่างกฎหมายต่อที่ประชุมสภา
@@ รายเดียวถือโฉนด 6 แสนไร่ ขณะที่คนทั่วไปยังไร้ที่ทำกิน

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระแรก มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินของประเทศไทย ซึ่งน่าสนใจและน่าบันทึกเอาไว้
ข้อมูลที่ดินของประเทศไทยในภาพรวม มีที่ดินทั้งหมด 320,696,888 ไร่ แยกเป็น
- พื้นที่ป่าไม้ 102,353,485 ไร่ (31.9 %)
- พื้นที่การเกษตร 149,251,941 ไร่ (46.5%) แยกเป็นนาข้าว 8,070,333 ไร่, ไม้ผล ไม้ยืนต้น 38,524,949 ไร่, พืชไร่ 31,281,699 ไร่, สวนผัก ไม้ดอก 1,572,392 ไร่ และอื่นๆ 9,802,568 ไร่
- พื้นที่นอกจากเกษตร 68,091,463 ไร่ (21.2%)
โดยแบ่งเป็นที่ดินของรัฐ 60.7% คือ ที่สาธารณะที่ใช้ในราชการ ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินที่มีกฎหมายดูแลเฉพาะ เช่น ที่ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
@@ ข้อมูลที่ดินรัฐ แนวเขตทับซ้อน ยอดรวมเกินพื้นที่ประเทศ!
ปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกัน พบว่าพื้นที่ที่ดินของรัฐตามกฎหมายของหน่วยงานต่างๆ เท่ากับ 542.35 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าที่ดินของประเทศที่มีอยู่จริง
หากปรับปรุงแผนที่แนวเขต (One Map) คือ ระบบแผนที่ดิจิทัลที่บูรณาการข้อมูลแนวเขตที่ดินของรัฐทุกประเภทให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในมาตราส่วน 1:4000 แล้ว จะทำให้เหลือพื้นที่ของรัฐเพียง 207.7 ล้านไร่
@@ ตัวเลขการถือครองที่ดินคนไทยสุดเหลื่อมล้ำ
ส่วนที่ดินเอกชน 39.3% เป็นที่ดินมีโฉนด 127,387,789 ไร่ รวม 28,269,556 แปลง จากความเหลื่อมล้ำและการกระจุกตัวในการถือครองที่ดิน พบว่า มีกลุ่มประชากร 10% มีการถือครองที่ดินประเภทโฉนดที่ดินกว่า 60% ของโฉนดที่ดินทั้งหมด และพบว่า ขนาดการถือครองที่ดินของผู้ที่ถือครองมากที่สุด คือ 631,263 ไร่
แต่ในขณะเดียวกันพบว่า ประชากรกว่า 50% ถือครองที่ดินเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ หรือบางรายไม่มีการถือครองที่ดินเลย
@@ 84 หน่วยงาน 16 กระทรวง ดูแลที่ดินรัฐ

มีการเสนอข้อมูลต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า ปัญหาการถือครองที่ดิน เกิดจากการที่ประเทศไทยมีกฎหมายที่ดิน มองที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นสินทรัพย์ ไม่ได้เป็นปัจจัยการผลิต เมื่อที่ดินเป็นสินทรัพย์ ทำให้คนมีการกักตุนที่ดิน และเกิดการกระจุกตัว
ปัญหาของประเทศไทยก็คือ ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีที่ดินทำกิน ส่วนที่ดินที่เป็นที่ของรัฐจะมีหน่วยงานที่เข้าไปดูแลถึง 84 หน่วยงาน จำนวน 16 กระทรวง และแต่ละหน่วยงานก็จะมีกฎหมายของตัวเอง จึงพบปัญหาที่เรียกว่า “ป่าทับคน” กับ “คนทับป่า” ซึ่งสภาพปัญหา ค่อนข้างรุนแรง ขณะนี้มีตัวเลขที่สำรวจชัดๆ มีประมาณ 1.2-1.3 ล้านคน
@@ แฉนิยาม “ป่า” ยังไม่ตรงกัน

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นอภิปรายกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรคือ นิยามของคำว่า “ป่า” ซึ่งยังสับสน กล่าวคือ
- พ.ร.บ.ป่าไม้ นิยามว่า “ป่า” คือ ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาถือครองตามกฎหมายที่ดิน
- พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ นิยามคำว่า “ป่า” คือ ที่ดินรวมตลอดจนถึงภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และชายทะเลยที่ยังไม่มีบุคคลใดได้มาตามกฎหมาย
- นโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ.2562 กำหนดว่า “ป่า” หมายถึง พื้นที่ปกคลุมพืชพรรณที่สามารถจำแนกได้ว่ามีไม้ยืนต้นปกคลุมเป็นผืนต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ (0.5 เฮกตาร์)
พูดง่ายๆ คือ แค่นิยาม “ป่า” อย่างเดียวก็ยังไม่ชัดเจน
“เราจะพบวิวัฒนาการของปัญหา คือ สมัยปู่ของปู่ เราเป็นเจ้าของ พอมาเป็นปู่แล้ว ก็จะอยู่ในที่ดินของรัฐ อาจจะกลายเป็นป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติที่ไปประกาศทับ พอมาเป็นพ่อก็อยู่ในป่า พอมาเป็นลูกก็เป็นอาชญากรที่อยู่ในที่ดินของรัฐ พอมาเป็นรุ่นหลานเหลน ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปอยู่ที่ไหน” พ.ต.อ.ทวี อธิบายตอนหนึ่ง
และว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นการคืนสิทธิและคืนศักดิ์ศรีให้กับคนที่อยู่มาก่อนป่า ให้กับคนที่ถูก “ป่าทับคน” จะแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินที่มีมายาวนาน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องอยู่บนความเป็นจริง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯฉบับนี้ ถ้าเกิดได้ใช้เวลา 1 ปี สามารถจะทำให้ป่าเป็นป่าจริงๆ และคนที่อยู่ในป่าก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
@@ กว่า 1 ล้านรายมีข้อพิพาทที่ดินกับรัฐ

จากข้อมูลเบื้องต้นที่หน่วยงานภาครัฐรายงานต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน สภาผู้แทนราษฎร พบว่า ในกรณี “ป่าทับคน” กับ “คนทับป่า” พบว่า ประชาชนมีข้อพิพาททางที่ดินกับรัฐบาล และประสบปัญหาความไม่แน่นอนในการถือครองที่ดินของตน มีจำนวนมากถึง 1.1 -1.2 ล้านราย แยกเป็น
- ป่าอนุรักษ์ จำนวน 316,560 ราย
- ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 400,000- 500,000 ราย
- ที่ราชพัสดุ จำนวน 139,184 ราย
- ที่ดิน ส.ป.ก. (คำนวณจากที่ดินที่มีข้อพิพาท 3.95 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยคนละ 15 ไร่) จะมีประชาชนผู้เกี่ยวข้อง ประมาณ 260,000 ราย
ในระหว่างปี พ.ศ.2557-2563 มีการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับกหารบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งสิ้น 13,713 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ไม่มีผู้กระทำความผิด (จำนวน 12,229 คดี) แต่ที่นำไปสู่การพิจารณาคดีแล้วมีทั้งสิ้น 391 คดี (คิดเป็น 2.8%ของคดีทั้งหมด)
แยกเป็นที่พิพากษาลงโทษแล้ว 369 คดี และพิพากษายกฟ้อง 22 คดี โดยคดีส่วนใหญ่จำนวน 12,033 คดี (คิดเป็น 88%ของคดีทั้งหมด) ยังคงค้างอยู่ในชั้นสอบสวน
@@ “ทวงคืนผืนป่า” มีแต่ชาวบ้านที่โดนหนัก
มีการเผยแพร่ข้อมูลสถิติคดี “ทวงคืนผืนป่า” ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 64/2557 จากการตรวจสอบและรวบรวมโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ปรากฏว่า ผู้ที่ถูกดำเนินคดี 90% คือ ประชาชนที่อยู่อาศัยอยู่เดิมในที่ดินนั้น มีเพียง 10% ที่เป็นผู้บุกรุกใหม่
ขณะที่คดีทวงคืนผืนป่า ระหว่างปี 2557-2562 ในยุครัฐบาล คสช. มีทั้งหมด 29,190 คดี เนื้อที่รวมกัน 800,000 ไร่
@@ สูญเงินพันกว่าล้านต่อปี เลี้ยงไข้ปัญหา

ที่สำคัญปัญหา “ป่าทับคน” กับ “คนทับป่า” ทำให้ประเทศต้องเสียเงินเลี้ยงไข้ ไม่ได้แก้ไขปัญหามากกว่าปีละ 1,004 ล้านบาท ให้กับ 3 กระทรวง 7 หน่วยงาน ได้แก่
1.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช 369 ล้านบาท
- กรมป่าไม้ 271 ล้านบาท
- กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 20 ล้านบาท
- สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 18 ล้านบาท
2.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) 168 ล้านบาท
3.กระทรวงมหาดไทย
- กรมที่ดิน 158 ล้านบาท

สำหรับเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่อ้างว่าจะเป็นการเปิดช่องให้ “นายทุนฮุบที่รัฐ” และเป็นการส่งสัญญาณให้ไปบุกรุกที่ดินรัฐเพื่อรอกฎหมายมีผลบังคับใช้ และจะได้รับการนิรโทษกรรมนั้น
กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฯ ชี้แจงว่า กระบวนการนิรโทษมีกลไกกลั่นกรอง ไม่รวมนายทุน และผู้บุกรุกใหม่
การนิรโทษกรรมจะจำกัดเฉพาะประชาชนที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม มีคุณสมบัติ
- ต้องเป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย
- เป็นผู้ไร้ที่ดินทำกินที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก ยึดถือ ครอบครองพื้นที่ป่า
กลุ่มที่มีคุณสมบัติจะแยกย่อยออกเป็นอีก 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมาก่อนปี 2541 และถูกดำเนินคดีระหว่างปี 2541-2559
2.กลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมาก่อนปี 2557 และถูกดำเนินคดีระหว่างปี 2557-2562
สาเหตุสำคัญที่ต้องมีการนิรโทษกรรม เพราะมีมติคณะรัฐมนตรีผ่อนผันมาก่อนแล้ว แต่ล่าช้า กระทั่งประชาชนถูกดำเนินคดีไปก่อนตามนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ของรัฐบาลในอดีต
