ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.หนนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังมีปัญหา “ความรุนแรงในบริบทการเมืองท้องถิ่น” จากเหตุการณ์สังหารโหด “สจ.โต้ง” ภายในบ้านของนายก อบจ.ปราจีนบุรี
เรื่องนี้ไม่ว่าคนที่เกี่ยวข้องจะอธิบายอย่างไร แต่ในความรู้สึกของสังคมย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองท้องถิ่น เพราะคลิปเสียงการทะเลาะกันก่อนจะเกิดการสังหารโหด ปรากฏชัดว่ามีความขัดแย้งเรื่องการลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ปราจีนบุรี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงสะท้อน “ความรุนแรงในการเลือกตั้งของไทย” ซึ่งส่งผลต่อทั้งการเลือกตั้งและประชาธิปไตยในภาพรวม
ทีมวิชาการของสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า นำทีมโดย ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักฯ ได้ทำสำรวจและสังเคราะห์ผลการศึกษาในอดีตเกี่ยวกับลักษณะ สาเหตุ และผลกระทบของความรุนแรงในการเลือกตั้ง เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหา และร่วมกันหาทางออกจากปัญหานี้
@@ ความรุนแรงในการเลือกตั้งไทย: ความท้าทายต่อประชาธิปไตยและบทเรียนในอนาคต
ความรุนแรงในการเลือกตั้งไทยมีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่การลอบสังหาร การข่มขู่ผู้สมัครหรือหัวคะแนน การจลาจลในวันเลือกตั้ง ไปจนถึงการประท้วงและเหตุการณ์รุนแรงหลังการประกาศผลเลือกตั้ง โดยสาเหตุของความรุนแรงในการเลือกตั้งมีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัจจัยเฉพาะหน้าดังนี้
1. โครงสร้างทางการเมืองที่ไม่สมดุล
ในหลายกรณี ความไม่สมดุลของโครงสร้างทางการเมือง เช่น การกระจายอำนาจที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้ผู้สมัครหรือกลุ่มการเมืองในบางเขตเลือกตั้งมองว่าการใช้อิทธิพลหรือกำลังเป็นวิธีการที่จำเป็นในการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดจึงมักนำไปสู่ความรุนแรง
2. ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและสังคม
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความรุนแรงในช่วงเลือกตั้งเพิ่มสูงขึ้น เมื่อกลุ่มผู้มีอำนาจในท้องถิ่นพยายามปกป้องฐานอำนาจของตน การใช้อิทธิพลหรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือหลัก
3. วัฒนธรรมการใช้กำลังในสังคมไทย
ความรุนแรงในการเมืองไทยมีรากฐานจากวัฒนธรรมที่ยอมรับการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหา ความขัดแย้งหรือความขัดแย้งส่วนบุคคล เช่น การว่าจ้างมือปืนเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองหรือการใช้กลุ่มอิทธิพลในพื้นที่เพื่อควบคุมผลการเลือกตั้ง สะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการที่เป็นธรรมและการพึ่งพากฎหมายอย่างเหมาะสม
4. การขยายตัวของวัฒนธรรมลอยนวล
การไม่ลงโทษผู้กระทำผิดเป็นปัญหาสำคัญในระบบยุติธรรมของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงในระหว่างการเลือกตั้ง ผู้กระทำผิดที่รอดพ้นจากบทลงโทษไม่เพียงแต่สร้างบรรทัดฐานที่ผิดพลาดในสังคม แต่ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการกระทำความรุนแรงในอนาคต
5. บทบาทของสื่อและการเมืองเชิงยุทธศาสตร์
การสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองผ่านสื่อมวลชน บางครั้งนำไปสู่การขยายความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมือง ฝ่ายที่ถูกโจมตีอาจใช้ความรุนแรงเป็นการตอบโต้ นอกจากนี้ การปล่อยข่าวลือหรือข้อมูลเท็จเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามในช่วงเลือกตั้ง ก็มีบทบาทกระตุ้นความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรง
6. ขาดกลไกแก้ไขข้อพิพาทที่มีประสิทธิภาพ
ในระบบการเมืองไทย กลไกในการแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้ง เช่น การนับคะแนน การประกาศผล และการพิจารณาข้อร้องเรียน มักไม่มีความน่าเชื่อถือหรือขาดประสิทธิภาพ ปัญหานี้ส่งผลให้ฝ่ายที่เสียประโยชน์รู้สึกว่าถูกละเลย และบางครั้งเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงความไม่พอใจ
ผลกระทบของความรุนแรง
ความรุนแรงในการเลือกตั้งส่งผลกระทบในหลายมิติ ได้แก่
1. ผลกระทบต่อความชอบธรรมของการเลือกตั้ง
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง กระบวนการที่ควรสร้างความไว้วางใจกลับถูกมองว่าเต็มไปด้วยการแทรกแซงและการใช้อำนาจในทางที่ผิด ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2. การลดลงของการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ประชาชนที่รับรู้หรือเคยประสบกับความรุนแรงในการเลือกตั้งอาจรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจในการออกมาใช้สิทธิ์ ผลที่ตามมาคือการลดลงของอัตราการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง ซึ่งทำให้ความชอบธรรมของผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งลดลงไปด้วย
3. ความแตกแยกทางสังคม
ความรุนแรงระหว่างกลุ่มการเมืองหรือระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคต่างๆ ก่อให้เกิดความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจกันในระดับชุมชน ความขัดแย้งที่ฝังลึกนี้อาจนำไปสู่ความแตกแยกที่ยากต่อการประสานงานหรือการสร้างความปรองดองในอนาคต
4. การเพิ่มวงจรความรุนแรง
เหตุการณ์การใช้ความรุนแรงที่ไม่ได้รับการจัดการแก้ไขอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่การแก้แค้นหรือการตอบโต้ในอนาคต สร้างวงจรของความรุนแรงที่ต่อเนื่องและยากจะยุติ นอกจากนี้ ความรุนแรงที่ไม่ได้การลงโทษยังเป็นตัวอย่างที่ผิดให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อาจมองว่าความรุนแรงเป็นวิธีการที่ยอมรับได้ในทางการเมือง
5. ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
สำหรับประชาคมระหว่างประเทศ ความรุนแรงในการเลือกตั้งเป็นภาพสะท้อนของความล้มเหลวในการบริหารจัดการการเลือกตั้งอย่างสันติ ประเทศไทยอาจถูกมองว่าเป็นรัฐที่ไม่สามารถรักษาหลักการประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคง ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตและการลงทุนจากต่างประเทศ
แนวทางแก้ไข
เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในการเลือกตั้งไทยอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการดำเนินการในหลายด้าน
1. ปฏิรูปกลไกการจัดการเลือกตั้ง
การปฏิรูปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มีความเป็นอิสระและความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาจเพิ่มบทบาทของประชาชนทั่วไป ภาคประชาสังคม และอาจรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศในการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลและรายงานการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้ง เช่น รายชื่อผู้สมัคร ผลการตรวจสอบข้อร้องเรียน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
2. สร้างมาตรการป้องกันความรุนแรงในช่วงการเลือกตั้ง
การวางมาตรการป้องกัน เช่น การสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อเฝ้าระวังและรายงานเหตุการณ์ผิดปกติ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รวมถึงการจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี นอกจากนี้ การกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างจริงจังต่อผู้กระทำผิดจะช่วยลดโอกาสเกิดความรุนแรง
3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสันติ
ใช้สื่อมวลชนและการศึกษาเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสันติ สร้างความเข้าใจในคุณค่าของประชาธิปไตยและผลเสียของการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก
4. เสริมสร้างความไว้วางใจในสถาบันการเมือง
การสร้างความไว้วางใจระหว่างพรรคการเมือง ผู้สมัคร และประชาชนเป็นกุญแจสำคัญในการลดความตึงเครียด การส่งเสริมการเจรจาระหว่างกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่าง และการใช้กระบวนการที่โปร่งใสจะช่วยเสริมสร้างความปรองดองในระยะยาว
5. ส่งเสริมความเป็นธรรมในโครงสร้างการเมือง
การกระจายอำนาจและทรัพยากรอย่างเท่าเทียมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง การสนับสนุนการเลือกตั้งที่ยุติธรรมในทุกระดับจะช่วยลดแรงกดดันที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง
ความรุนแรงในการเลือกตั้งไทยเป็นปัญหาที่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยในประเทศ การปฏิรูปและพัฒนากลไกต่างๆ เพื่อจัดการปัญหานี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น หากประเทศไทยต้องการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืน ความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ประชาสังคม และประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความรุนแรงและสร้างความไว้วางใจในกระบวนการเลือกตั้งต่อไป