"...เมื่อฟังข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบข้อมูลการเข้าพักโรงแรมราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จังหวัดขอนแก่น ก็ไม่พบข้อมูลการเข้าพักในช่วงเวลาดังกล่าวตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กล่าวอ้าง ประกอบกับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูลแจ้งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียในวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้กล่าวอ้างว่าเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2559 ..."
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org)รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดสตูลได้เผยแพร่เอกสารข่าวแจกกรณี ป.ป.ช.สตูลได้มีมติชี้มูล นายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด อดีตนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายอับดลล๊ะ บิลังโหลด อดีตประธานสภาเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เนื่องจากทั้งสองคนมีความผิดในคดีการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมประชุมวิชาการสมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2559 และปี พ.ศ. 2561 แต่ว่าไม่ได้ไปร่วมประชุมจริง
โดยในการประชุมครั้งที่ 83/2567 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นในกรณีกล่าวหาว่า การกระทำของนายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และการกระทำของนายอับดลล๊ะ บิลังโหลด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็น เจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ หรือรับรองเป็นหลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่เทศบาลหรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลคดีนี้ทั้งหมด
@ ผู้ถูกกล่าวหา
คดีนี้ มีผู้ถูกกล่าวหา 2 ราย คือ
1. นายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล
2. นายอับดลล๊ะ บิลังโหลด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานสภาเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2
@ ข้อกล่าวหา
การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมประชุมวิชาการสมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2559 และปี พ.ศ. 2561
@ พฤติการณ์ในการกระทำความผิด
ข้อกล่าวหาที่ 1 การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมการประชุมวิชาการและการประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2559
เมื่อปี พ.ศ.2559 สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือ ที่ ส.ท.ท. 640/2559 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2559 แจ้งกำหนดการประชุมวิชาการและการประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาล แห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) ประจำปี 2559 ครั้งที่ 59 ไปยังเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง โดยกำหนดจัดการประชุมระหว่างวันที่ 13 - 15 กรกฎาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จากนั้นเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้แจ้งรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด ตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง และนายกรกช ยีอาร์ ตำแหน่งปลัดเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง
หลังจากที่เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้แจ้งรายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2559 ระหว่างวันที่ 13 - 15 กรกฎาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ขออนุมัติเดินทางไปราชการดังกล่าวต่อนายอำเภอเมืองสตูล โดยขออนุมัติเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ระหว่างวันที่ 11 - 17 กรกฎาคม 2559 และนายอำเภอเมืองสตูล ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลได้พิจารณาอนุมัติตามเสนอ
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้จัดทำหลักฐานการเดินทางไปราชการเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ตามฎีกาเบิกจ่ายเงิน เลขที่คลังรับ 900/2559 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 เป็นเงิน 20,172 บาท ประกอบด้วย
1) ค่าพาหนะ (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) เป็นเงิน 11,352 บาท
2) ค่าเบี้ยเลี้ยง จำนวน 7 วัน (วันที่ 11 - 17 กรกฎาคม 2559)
และ 3) ค่าที่พัก (เหมาจ่าย) จำนวน 6 คืน (วันที่ 11 - 16 กรกฎาคม 2559) ซึ่งจากหลักฐานการเดินทางไปราชการเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อรับรองในใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน (แบบ บก. 111) และลงลายมือชื่อผู้ขอรับเงิน/ผู้ขอเบิก/ผู้รับเงิน ในใบเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (แบบ 8708) พร้อมทั้งลงลายมือชื่อเป็นผู้อนุมัติให้เบิกจ่ายในเอกสารดังกล่าว ในฐานะนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังจึงได้เบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ จำนวน 20,172 บาท ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1
จากการตรวจสอบเอกสารข้อมูลการลงลายมือชื่อผู้เข้าร่วมประชุมวิชาการและการประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2559 ระหว่างวันที่ 13 - 15 กรกฎาคม 2559 ของสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าว แต่อย่างใด
เมื่อฟังข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบข้อมูลการเข้าพักโรงแรมราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จังหวัดขอนแก่น ก็ไม่พบข้อมูลการเข้าพักในช่วงเวลาดังกล่าวตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กล่าวอ้าง
ประกอบกับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูลแจ้งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียในวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้กล่าวอ้างว่าเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2559
จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มิได้เดินทางไปราชการดังกล่าวจริง จึงไม่มีสิทธิที่จะเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 15 ข้อ 16 และข้อ 25
แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กลับทำเอกสารหลักฐานการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าว พร้อมรับรองในเอกสารการเบิกเงินว่าตนไปราชการระหว่างวันที่ 11 - 17 กรกฎาคม 2559 และได้พักค้างแรมในการไปราชการดังกล่าวอันเป็นความเท็จ แล้วเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิก โดยใช้อำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง อนุมัติการเบิกจ่ายเงินดังกล่าวให้กับตนเอง เป็นเหตุให้เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,172 บาท
นอกจากนี้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ยังใช้อำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลังอนุมัติ ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมประชุมวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2561 ณ ห้องแกรนด์ ไดมอน บอลรูม อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ให้กับนายอับดลล๊ะ บิลังโหลด ตำแหน่งประธานสภาเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ตามฎีกาเบิกจ่ายเงิน เลขที่คลังรับ 257/251 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นเงินจำนวน 10,118 บาท
โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มิได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิที่จะเบิกค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการได้ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเหตุให้เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 10,118 บาท
พฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2
หลังจากที่เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้แจ้งรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาล แห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2561 ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้ขออนุมัติการเดินทางไปราชการให้กับ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไปยังนายอำเภอเมืองสตูล โดยขออนุมัติเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ระหว่างวันที่ 22 - 28 มกราคม 2561 และนายอำเภอเมืองสตูล ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้พิจารณาอนุมัติให้เดินทางไปราชการนอกเขตจังหวัดได้ แต่ไม่อนุมัติให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวเนื่องจากไม่มีความจำเป็นและเป็นการ ไม่ประหยัดงบประมาณของทางราชการ
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ทำสัญญาการยืมเงินทดรองราชการ ตามสัญญาเลขที่ B00025/61 ลงวันที่ 15 มกราคม 2561 ครบกำหนดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 และ มีการเบิกจ่ายเงินยืมให้กับผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 ตามฎีกายืมเงินรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เลขที่คลังรับ 204/61 ลงวันที่ 15 มกราคม 2561 เป็นจำนวนเงิน 10,118 บาท ประกอบด้วย 1) ค่าเบี้ยเลี้ยง จำนวน 6 วัน เป็นเงิน 1,170 บาท 2) ค่าที่พัก จำนวน 3 คืน เป็นเงิน 3,600 บาท และ 3) ค่าพาหนะ เป็นเงิน 5,348 บาท
ภายหลังผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้จัดทำหลักฐานการเดินทางไปราชการเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ตามฎีกาเบิกจ่ายเงิน เลขที่คลังรับ 257/2561 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นเงินจำนวน 10,118 บาท เพื่อส่งให้เงินยืมตามสัญญาการยืมเงินทดรองราชการ เลขที่ B00025/61 ประกอบด้วยใบเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (แบบ 8708) ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน (แบบ บก.111) และเอกสารประกอบอื่น ๆ รวมเป็นจำนวนเงิน 10,118 บาท โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อรับรองในเอกสารหลักฐานดังกล่าว
จากการตรวจสอบเอกสารข้อมูลการลงลายมือชื่อผู้เข้าร่วมประชุมวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2561 ของสมาคมสันนิบาตเทศบาล แห่งประเทศไทย ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าวแต่อย่างใด โดยให้เหตุผลว่ากรณีที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อเข้าร่วมประชุมเนื่องจากรู้สึกไม่สบายใจพฤติกรรมของปลัดเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังที่จ้องจับผิดดูช่องลงลายมือชื่อของตน จึงไม่เข้าไปลงลายมือชื่อในช่วงเวลาดังกล่าว และคิดว่าจะไปลงลายมือชื่อลงทะเบียนในภายหลัง แต่จนกระทั่งเดินทางกลับจึงไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่อย่างใด รวมทั้งได้กล่าวอ้างถึงวิธีการเดินทางและการเข้าพักโรงแรมโดยไม่มีเอกสารหลักฐานมายืนยันสนับสนุน การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้
ประกอบกับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าว ในส่วนค่าเช่าที่พัก เป็นการเบิกในลักษณะเหมาจ่าย และการเบิกค่าพาหนะ มีการใช้เอกสารใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน (แบบ บก.111) แทนหลักฐาน การเดินทางตัวจริง และจากถ้อยคำของปลัดเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง ซึ่งได้เดินทางไปเข้าร่วม การประชุมดังกล่าว แต่กลับไม่พบเห็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ในวันประชุมทั้ง 3 วัน และไม่พบเห็นในบริเวณสถานที่ จัดงานแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มิได้เดินทางไปราชการดังกล่าวจริง จึงไม่มีสิทธิที่จะเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 15 และข้อ 16 แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 กลับทำเอกสารหลักฐานการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าว พร้อมรับรองในเอกสารการเบิกเงินว่าตนไปราชการระหว่างวันที่ 22 - 28 กุมภาพันธ์ 2561 อันเป็นความเท็จ แล้วเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิก เป็นเหตุให้เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลังได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 10,118 บาท
@ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 83/2567 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นในกรณีกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาแต่ละราย ดังนี้
การกระทำของนายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็น เจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ หรือรับรองเป็นหลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) และมีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่เทศบาลหรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73
การกระทำของนายอับดลล๊ะ บิลังโหลด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการ รับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ หรือรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลเป็นความผิด ฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่งหรือแก่เทศบาลหรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายมะหมัดนีซัม บิลังโหลด และ นายอับดลล๊ะ บิลังโหลด ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป และให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้งทราบ
ทั้งนี้ ให้แจ้งเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง ต่อไปด้วย
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในชั้นศาลได้อีก