ละเอียดยิบ! คำพิพากษาฉบับเต็ม คดี‘สมชาย เล่งหลัก’ เตรียมแจกเงิน 1 แสนซื้อเสียง ตอนสมัคร สส. สงขลา พรรคภูมิใจไทย ศาลเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ชนวนเหตุ กกต.ชงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ขาดคุณสมบัติ สว.ปัจจุบัน พยานหลักฐาน โทรศัพท์ชี้ชัด เชื่อรู้เห็น ได้ประโยชน์จากหัวคะแนน
ศาลฎีกามีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2567 ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้สมัคร สส.สงขลา เขต 9 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ (กลุ่ม 19) ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา กรณีรู้เห็นเป็นใจให้บุคคล จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายสมชายไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม (ข่าวเกี่ยวข้อง: ศาลฎีกาตัดสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี 'สมชาย เล่งหลัก'-ปธ.วุฒิฯ ปัดตอบพ้นเก้าอี้ สว.)
ต่อมาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของนายสมชาย สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่หรือไม่ ภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาตามที่ กกต.เสนอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง สว. ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง: กกต.มีมติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคุณสมบัติ สว. ‘สมชาย เล่งหลัก’)
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงคำพิพากษาฉบับเต็ม 21 หน้ากระดาษ ที่มาในยื่นคำร้องของ กกต.ต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของนายสมชาย มารายงาน
เปิดคำพิพากษาละเอียด
คดีหมายเลขดำที่ ลต สส 4/2567คดีหมายเลขแดงที่ ลต สส 338/2567 วันที่ 23 เดือน กันยายน พุทธศักราช 2567 ความคดีเลือกตั้ง ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง นายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้านเรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกาให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้ง แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566
ผู้ร้องได้รับรายงานกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้คัดค้านกับพวกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1)
จุดเริ่มต้นคำร้อง ตร.สภ.หาดใหญ่จับคนแจกแผ่นพับ รายชื่อ เงิน 1 แสน ในรถ พ.ต.อ.
ผู้ร้อง ไต่สวนแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ร่วมกันจับกุมนายวินัย บัวทอง พร้อมยึดบัญชี รายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในพื้นที่ตำบลควนลัง ตำบลคลองแห ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ และตำบลท่าช้าง ตำบลแม่ทอม ตำบลบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา จำนวน 16 แผ่น ซึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายคาดอกของนายวินัย กับธนบัตรจำนวน 100,000 บาท และแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านจำนวน 2 แผ่น ซึ่งอยู่ภายในรถยนต์
ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ของพันตำรวจเอกถวัลย์ นคราวงศ์ เป็นของกลาง และมีหลักฐานว่าพันตำรวจเอกถวัลย์กับผู้คัดค้านมีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้าน ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้ นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 138 วรรคหนึ่งผู้คัดค้านขอให้ยกคำร้อง อ้างไม่รู้จัก 2 ผู้ก่อเหตุ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่รู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายวินัย และพันตำรวจเอกถวัลย์
บุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียง หรือช่วยเหลือในการหาเสียง ให้ผู้คัดค้าน ธนบัตรของกลาง 100,000
บาท ไม่ได้เป็นของผู้คัดค้านที่จัดเตรียมไว้เพื่อจะให้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้คัดค้าน ผู้
คัดค้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์จำนวน 16 แผ่น และแผ่นพับหาเสียง 2 แผ่น ของกลาง ผู้คัดค้านไม่ได้ ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้องข้อเท็จจริงเบื้องต้นเตรียมแจกเงินซื้อเสียง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไต่สวนและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 และมีประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับ เลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา หมายเลข 7 พรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จับกุมตัว นายวินัย บัวทอง พร้อมยึดบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์ จำนวน 16 แผ่น ธนบัตร ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 100,000 บาท รัดด้วยสายรัดเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านจำนวน 2 แผ่น โดยบัญชีรายชื่อบุคคลและ หมายเลขโทรศัพท์จำนวน 16 แผ่น อยู่ในกระเป๋าสะพายคาดอกของนายวินัย ส่วนธนบัตร จํานวน 100,000 บาท และแผ่นพับหาเสียงจำนวน 2 แผ่น พบในรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ของพันตำรวจเอกถวัลย์ นคราวงษ์ ด้านหลังรถติดสติกเกอร์หมายเลข 7 ผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่า ผู้คัดค้านไม่ได้รับเลือกตั้ง วันที่ 16 พฤษภาคม 2566 ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร หาดใหญ่ ทำรายงานการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ต่อผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสงขลา
ผู้ร้องไต่สวนแล้วเห็นว่า กรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้าน ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและพันตำรวจ เอกถวัลย์ จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ ตนเองซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา เขตเลือกตั้งที่ 9 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้านมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ร้อง จึงยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ ผู้คัดค้าน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 138 วรรคหนึ่ง
ศาลตั้งประเด็นวินิจฉัยเตรียมแจกเงินจริงไหม ผู้คัดค้านรู้เห็นเป็นใจหรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้ เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง ทำให้ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน มิให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ อันเป็นเหตุให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ ผู้คัดค้านตามคำร้องหรือไม่
ทางไต่สวนได้ความจากพยานผู้ร้องปากนายณัฐวุฒิหรือคุณกฤต เกิดสุวรรณ และนายอุทิศ สังข์ทอง ว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา พยานทั้งสองและนายสมภพ สุวรรณชาตรี เดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง และได้รับแจ้งจากเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลังว่า มีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ข้าง สำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง พยานทั้งสองกับนายสมภพไปดู ครั้งแรก พบเพียงรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ติดสติกเกอร์หมายเลข 7 สีแดง จอดอยู่แต่ไม่พบผู้ใดอยู่ในบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ได้ไปดูที่รถยนต์คันดังกล่าวอีกครั้ง พบชายคนหนึ่งทราบในภายหลังว่าชื่อนายวินัยกำลังยืนลอกสติกเกอร์ซึ่งติดอยู่ที่รถยนต์ จึงได้สอบถามว่ากำลังทำอะไรและรถยนต์เป็นของใคร นายวินัยมีอาการตกใจ พวกพยานจึงโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจสอบ
คนถูกจับอ้างได้โควตาซื้อเสียงมา 40 หัว - พบ นายตร.โทร.ติดต่อสมชาย-เงิน 1 แสนในรถอ้างเงินยืม
ได้ความจากพยานผู้ร้องปากร้อยตำรวจตรีสมภพ รักสนิท (ยศในขณะเกิดเหตุ) ว่า หลังจากได้รับแจ้งว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งที่บริเวณข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง พยานพร้อมด้วยตำรวจอาสาเดินทางไปที่เกิดเหตุ พบชายสามคนยืนโต้เถียงกันอยู่ใกล้ ๆ รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียนกษ 8356 สงขลา ทราบในภายหลังว่าชื่อนายณัฐวุฒิ นายอุทิศ และนายวินัย พยานสอบถาม นายวินัยซึ่งให้การยอมรับว่าเป็นหัวคะแนนของผู้คัดค้านพร้อมกับเอาบัญชีรายชื่อบุคคลและ หมายเลขโทรศัพท์มาให้พยานดู พยานนำตัวนายวินัยพร้อมของกลางที่ยึดได้ไปที่ป้อมยามควนลัง และต่อมาได้นำไปส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน
ได้ความจากพยานผู้ร้องปาก ดาบตำรวจองอาจ วิกรเมศกุล เจ้าพนักงานตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็วซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก ผู้ร้องให้ทำหน้าที่ป้องปรามและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า หลังจากได้รับแจ้งจาก เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พยานกับพวก ได้ไปที่เกิดเหตุแต่ไม่พบผู้ใด จึงเดินทางไปที่ป้อมยามควนลัง พบนายวินัยนั่งอยู่กับร้อยตำรวจตรีสมภพ พยานสอบถาม นายวินัยได้ความว่า นายวินัยได้โควตาซื้อเสียงมา 40 หัว
และได้ความจากพยานผู้ร้องปาก นายมนพ ซูมณี ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ว่า พยานเป็นผู้ตรวจสอบ หลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 214 ถึงแผ่นที่ 273 โดยตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 080 864 8880 ของพันตำรวจเอก ถวัลย์ กับโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 065 063 1897 ของผู้คัดค้าน และตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 080 864 8880 ของพันตำรวจเอกถวัลย์กับ โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 094 562 7338 ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้อยู่ ในศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พบว่ามีการติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งก่อนและ หลังเกิดเหตุ ส่วนผู้คัดค้านอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านขออนุญาต ศาลถามว่า ผู้คัดค้านไม่รู้จักพันตำรวจเอกถวัลย์ และไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายวินัย และพันตำรวจเอกถวัลย์ โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 065 063 1897 เป็นเครื่องที่ผู้คัดค้าน ใช้ส่วนตัว ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 094 562 7338 ใช้ประจำอยู่ที่ศูนย์ประสานงาน การเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ประชาชนโดยทั่วไปสามารถโทรศัพท์ติดต่อมาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลขดังกล่าวได้ โดยผู้คัดค้านมีนายวินัย เป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้าน ขออนุญาตศาลถามว่า พยานไม่เคยเห็นธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ของกลาง และ มีพันตำรวจเอกถวัลย์เป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านขออนุญาตศาลถามว่า ธนบัตร จำนวน 100,000 บาท ซึ่งเก็บไว้ที่ด้านหลังของเบาะนั่งข้างคนขับ พยานยืมมาจากนายพิสิทธิ์ เขียวอ่อน พยานไม่รู้จักกับผู้คัดค้านมาก่อน ทราบแต่เพียงว่าผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
พยานให้การสอดคล้อง เบิกความตามจริง
เห็นว่า ผู้ร้องมีนายณัฐวุฒิหรือคุณกฤต และ นายอุทิศซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่พยานได้รับแจ้งจาก เลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลังว่ามีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ และพยานทั้งสองได้ไป ตรวจสอบ จนกระทั่งมีเจ้าพนักงานตำรวจได้มาตรวจค้นตัวนายวินัย และรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ซึ่งจอดอยู่ในที่เกิดเหตุได้เป็นลำดับ และ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากนายสมภพที่เบิกความว่า ได้ร่วมเดินทางไปกับนายณัฐวุฒิและนายอุทิศและเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายณัฐวุฒิและนายอุทิศ เดินไปพูดคุยกับนายวินัยโดยขณะนั้นพยานนั่งรอบุคคลทั้งสองอยู่ในรถ
อีกทั้งยังสอดคล้องกับ ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากร้อยตำรวจตรีสมภพซึ่งเป็นผู้ตรวจค้นตัวนายวินัยและรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา
การที่พยานของผู้ร้องทุกปากซึ่งล้วนแต่รู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยตนเองโดยตรงเบิกความได้สอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธเช่นนี้ ทำให้น่าเชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามจริง
โพยรายชื่อ-ผู้รับผิดชอบดูแล เบอร์โทร. – หัวคะแนนอ้างรายชื่อลูกค้าธุรกิจ
ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากดาบตำรวจองอาจว่า ขณะที่นายวินัย ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ป้อมยามควนลัง ดาบตำรวจองอาจได้สอบถามนายวินัยได้ความว่านายวินัย ได้โควตาซื้อเสียงมา 40 หัว คำเบิกความของดาบตำรวจองอาจดังกล่าวจึงยิ่งเป็นการสนับสนุน ให้พยานผู้ร้องมีน้ำหนักน่ารับฟัง เมื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์ เอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 39 ถึงแผ่นที่ 53 ซึ่งนายวินัยยอมรับว่าเป็นของตนก็พบว่า ในบัญชีรายชื่อแผ่นที่ 2 มีข้อความเขียนว่า “แกนนำรายชื่อ” พร้อมกับระบุชื่อ ช่างดอน พี่พา น้องไก่ น้องเหมียว น้องกุ้ง เจ้อร น้องมาย น้องอุ้ม น้องเลอะ พี่ณิชา ส่วนในช่อง ผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุชื่อนายวินัย บัวทอง โทร 081 532 4698
บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 3 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 065 789 9699 (น้องมาย) และมีรายชื่อบุคคล รวม 8 คน บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 4 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลข โทรศัพท์เคลื่อนที่ 091 761 1472 (เจ๊อร) และมีรายชื่อบุคคล รวม 10 คน
บัญชีรายชื่อ แผ่นที่ 5 และที่ 6 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุชื่อ ยุพา สุวรรณรัศมี โทร 080 141 5629 (พี่
พา) และรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รวม 23 คน
บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 7 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 084 198 9708 (ช่างดอน) และมีรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รวม 13 คน
บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 8 และที่ 9 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 065 641 7922 (น้องฟุ้ง) และมีรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตาม ทะเบียนบ้าน รวม 41 คน
บัญชีรายชื่อ แผ่นที่ 10 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลข โทรศัพท์เคลื่อนที่ 086 562 3099 (น้องเหมียว) และมีรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลข โทรศัพท์และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รวม 18 คน บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 11 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 089 596 9710 (น้องไก่) และมีรายชื่อบุคคลพร้อม หมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตาม ทะเบียนบ้าน รวม 13 คน บัญชีรายชื่อแผ่นที่ 12 ในช่อง ผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 096 302 9141 (น้าเลอะ) และมีรายชื่อ บุคคลพร้อมหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รวม 13 คน
บัญชีรายชื่อ แผ่นที่ 13 และที่ 14 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุชื่อและหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 089 329 4497 (ม่อน) และมีรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตามทะเบียน บ้าน รวม 25 คน และบัญชีรายชื่อแผ่นที่ 15 และที่ 16 ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 091 742 4461 (น้องอุ้ม) และมีรายชื่อบุคคลพร้อมหมายเลข โทรศัพท์เคลื่อนที่และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน รวม 29 คน
ซึ่งตามบัญชีรายชื่อบุคคลและ หมายเลขโทรศัพท์แผ่นที่ 2 ถึงที่ 16 มีลักษณะเป็นการรวบรวมรายชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ และที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของบุคคลไว้โดยมีผู้รับผิดชอบ กลุ่มเป็นผู้ดูแล ส่วนนายวินัยเป็น ผู้ควบคุมดูแลผู้รับผิดชอบกลุ่มซึ่งประกอบด้วย ช่างดอน พี่พา น้องไก่ น้องเหมียว น้องบุ้ง เจ้อร น้องมาย น้องอุ้ม น้าเลอะ พี่ณิชา อีกชั้นหนึ่ง การจัดทำบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเขตที่ ผู้คัดค้านลงสมัครรับเลือกตั้ง เช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการจัดทำบัญชีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการ หาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งในข้อนี้นายวินัยก็ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ว่า กระดาษที่มีรายชื่อบุคคลที่เจ้าหน้าที่ค้นเจอเป็นเอกสารที่มีรายชื่อลูกค้าที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน และจะนำไปเสนอให้กับผู้ใหญ่เพื่อแลกเงิน เนื่องจากประสบปัญหาการเงิน
พยานหลักฐานพฤติการณ์ชัดเตรียมแจกเงินซื้อเสียง
และนอกจากบัญชี รายชื่อบุคคล ที่ยึดได้จากนายวินัยแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจยังยึดธนบัตรจำนวน 100,000 บาท และแผ่นพับ หาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา หมายเลข 7 นายสมชาย เล่งหลัก พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นแผ่นพับที่ผู้คัดค้านใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จำนวน 2 แผ่น ได้ในรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ของพันตำรวจเอกถวัลย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลของนายวินัย ส่วนพันตำรวจเอกถวัลย์นั่งรอนายวินัยอยู่ที่ร้านกาแฟชื่อคอนทินิวห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร
เมื่อนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับของกลางที่ยึดได้ที่ตัวนายวินัยและที่ยึดได้จากรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ของพันตำรวจเอกถวัลย์ ซึ่งติดสติกเกอร์หมายเลข 7 ไว้รอบคันมาพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากการ สืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามเอกสารหมาย ร.ค.1 และ พฤติการณ์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ที่ปรากฏว่าได้เดินทางไปพร้อมกับนายวินัย หลังจากจอดรถยนต์ของตนไว้ในที่เกิดเหตุแล้วก็นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายวินัยไปพูดคุยกันต่อที่ ร้านกาแฟคอนทินิว จากนั้นมอบกุญแจรถยนต์ของตนให้นายวินัยไปไขเปิดประตูรถจนกระทั่ง ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ทำให้เชื่อได้ว่านายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ร่วมกันจัดเตรียมที่จะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
ผู้คัดค้านเบิกความลอยๆ ขัดแย้งพฤติการณ์แห่งคดี
ส่วนที่ผู้คัดค้านโต้แย้งมาในคำคัดค้านและนำสืบว่า นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ ไม่ได้กระทำการตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โดยมีนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์มาเป็นพยาน เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายวินัยที่เบิกความว่าไม่เคยเห็นเงินจำนวน 100,000 บาท อันเป็นการเบิกความในทำนองปฏิเสธว่าไม่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันระหว่างบัญชีรายชื่อ บุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดที่ตนกับธนบัตรจำนวน100,000 บาท นั้น นอกจากจะเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ แล้วยังขัดแย้งกับพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏว่า ขณะเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมยึดธนบัตรจำนวน 100,000 บาท เป็นของกลาง นายวินัย ก็อยู่ด้วย ธนบัตรจำนวนดังกล่าวพันตำรวจเอกถวัลย์ก็เบิกความยอมรับว่าได้เก็บไว้ที่ช่องใส่ของด้านหลังเบาะนั่งข้างคนขับ คำเบิกความของนายวินัยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
ในส่วนของพันตำรวจเอกถวัลย์ซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามเอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 180 และเบิกความต่อศาลว่า ธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ดังกล่าวเป็นเงิน ที่ตน ยืมมาจากนายพิสิทธิ์เพื่อส่งไปให้บุตรสาวซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายพิสิทธิ์ได้เก็บรวบรวมเงินจากลูกค้าที่มาซื้อผักของนายพิสิทธิ์ส่งมอบให้แก่ตนก่อนเกิดเหตุ 1 วัน โดยผู้คัดค้านมีนายพิสิทธิ์มาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าได้ให้พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมเงิน ไปจริงนั้น
ไม่เชื่อปมเงินในรถฟอร์จูนเนอร์ 1 แสน มาจาก ‘พิสิทธิ์’เก็บลูกค้าซื้อผักมาให้ พ.ต.อ.กู้ยืม
เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากสภาพของธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ของกลาง ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย ว.ร.2 พบว่าอยู่ในสภาพค่อนข้างใหม่และมีการจัดเก็บอย่างดี โดยรัดด้วยสายรัดเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งผิดวิสัยของการจัดเก็บเงินของพ่อค้าโดยทั่ว ๆ ไป ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเงินที่นายพิสิทธิ์เก็บรวบรวมมาจากลูกค้าที่มาซื้อผักของนายพิสิทธิ์ อีกทั้งหากเป็นเงินที่พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาวของตน ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศจริง พันตำรวจเอกถวัลย์ก็น่าจะให้ความสำคัญแก่เงินจำนวนดังกล่าว โดยเก็บไว้กับตัว ไม่น่าจะเก็บไว้ในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในจุดที่ตนไม่สามารถมองเห็นได้ คำเบิกความของพันตำรวจเอกถวัลย์และนายพิสิทธิ์จึงมีพิรุธน่าสงสัย ยิ่งเมื่อพิจารณาถึง พฤติการณ์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ที่เก็บเงินจำนวนดังกล่าวไว้ในรถยนต์และมอบกุญแจรถ ให้แก่นายวินัยไปใช้เปิดประตูรถยนต์โดยลำพัง ทั้ง ๆ ที่พันตำรวจเอกถวัลย์เบิกความยืนยันว่า ไม่สนิทคุ้นเคยกันมาก่อนและเป็นผู้ที่มีปัญหาทางการเงิน ยิ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินที่พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาว แต่น่าเชื่อว่าเป็นเงินที่พันตำรวจเอก ถวัลย์ส่งมอบให้นายวินัยไปใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีรายชื่อปรากฏในบัญชี รายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์เอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 39 ถึงแผ่นที่ 53 พยานหลักฐาน ของผู้คัดค้านจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
หลักฐานโทร.ติดต่อกันมัด นายตร-สมชาย
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของนายวินัยและ พันตำรวจเอกถวัลย์เป็นการกระทำเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านแล้ว จึงต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการดังกล่าว หรือไม่
เห็นว่า นอกจากข้อเท็จจริงจะได้ความจากที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบรับกันว่า ขณะเกิด เหตุรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน กษ 8356 สงขลา ซึ่งเป็นของพัน ตำรวจเอกถวัลย์มีสติกเกอร์ หมายเลข 7 อันเป็นหมายเลขของพรรคภูมิใจไทย และเป็นหมายเลขเดียวกับของผู้คัดค้านที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงติดอยู่ และในรถยนต์คันดังกล่าว มีแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านอยู่ด้วย 2 แผ่น
ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากนายมนพว่า จากการตรวจสอบหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามเอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 214 ถึงแผ่นที่ 273 โดยตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างหมายเลข 080 864 8880 ของพันตำรวจเอกถวัลย์กับ โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 065 063 1897 ของผู้คัดค้าน และโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 094 562 7338 ซึ่งผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นเครื่องที่ใช้อยู่ในศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 3 เมษายน 2566 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 มีการติดต่อระหว่างกันหลายครั้ง ซึ่งในข้อนี้ผู้คัดค้านก็เบิกความตอบผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องขอ อนุญาตศาลถามรับว่า ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 ได้พูดคุยกับพันตำรวจเอกถวัลย์จริง โดยสอบถามว่า เสียงส่วนใหญ่ไปทางไหน
‘วินัย’หัวคะแนน – พ.ต.อ.ใช้ร้านกาแฟ‘สมชาย’คุยกัน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว นอกจากจะแสดงให้เห็นว่า พันตำรวจเอกถวัลย์มีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านและ พันตำรวจเอกถวัลย์รู้จักคุ้นเคยกันและมีการติดต่อประสานงานกันตลอดเวลา มิใช่ไม่รู้จักกัน ตามที่ผู้คัดค้านและพันตำรวจเอกถวัลย์กล่าวอ้าง พันตำรวจเอกถวัลย์ก็ได้ให้ถ้อยคำต่อ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามเอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 163 และมาเบิกความ ต่อศาลในฐานะพยานผู้คัดค้านยอมรับว่า ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา ได้เดินทางไปที่ร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านท่าท้อน ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ระหว่างอยู่ที่ร้านดังกล่าวนายวินัยเดินเข้ามาทักทายและได้พูดคุยกัน จากนั้นพันตำรวจเอกถวัลย์และนายวินัย เดินทางออกจากร้านกาแฟดังกล่าวไปยังร้านกาแฟอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านกาแฟที่พันตำรวจเอกถวัลย์นั่งอยู่แล้วนายวินัยเดินเข้าไปทักทายนั้น แม้พันตำรวจเอกถวัลย์จะพยายาม เบิกความบ่ายเบี่ยงว่าจำไม่ได้ว่าชื่อร้าน แกรนด์ ลาซีส หรือไม่ แต่ก็ได้ความจากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและที่นายวินัยมาเบิกความต่อศาลว่า ร้านกาแฟที่พันตำรวจเอกถวัลย์นั่งอยู่และนายวินัยเดินเข้าไปทักทายชื่อร้าน แกรนด์ ลาซีส ซึ่งเป็นของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านได้ประโยชน์-รู้เห็น การกระทำของสองหัวคะแนน
เมื่อนำข้อเท็จจริงส่วนนี้มาพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเอกสารหมาย ร.ค.1 แผ่นที่ 79 ถึงแผ่นที่ 89 แผ่นที่ 90, 94 และแผ่นที่ 95 ทำให้เชื่อได้ว่านอกจากการติดต่อกันทางโทรศัพท์แล้ว พันตำรวจเอกถวัลย์ยังเดินทางไปพบและพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ร้านแกรนด์ ลาซีส ด้วย และ แม้จะไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่าพันตำรวจเอกถวัลย์ติดต่อพูดคุยกับผู้คัดค้านในเรื่องอะไรบ้าง แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 ที่ปรากฏว่าหลังจาก พันตำรวจเอกถวัลย์ออกจากร้านแกรนด์ ลาซีส ได้ร่วมเดินทางไปกับนายวินัยและนำรถยนต์ซึ่งมีสติกเกอร์หมายเลข 7 ติดไว้รอบคันไปจอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นไม่นาน มีเจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจค้นตัวนายวินัยและตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าวพบหลักฐาน ต่าง ๆ ทั้งจากนายวินัยและภายในรถยนต์ซึ่งเป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเตรียมเพื่อให้เงิน แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ทำให้เชื่อ ได้ว่าผู้คัดค้านซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ รู้เห็นกับการกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์
ข้อโต้แย้งข่มขู่ให้กลัว พยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ แค่คำกล่าวอ้างลอยๆ
สำหรับที่ผู้คัดค้านโต้แย้งมาในคำคัดค้านว่า พยานหลักฐานผู้ร้องได้มาโดยมีลักษณะคุกคาม บังคับให้จำยอม ทำให้กลัว เป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจรับฟังได้นั้น เห็นว่า คดีนี้ในชั้นไต่สวนคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานหลักฐานของกลางและไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้ที่อ้างว่าทำการคุกคามตนแต่อย่างใด จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ามีการกระทำดังกล่าว ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ผู้ร้องนำสืบมาได้
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เห็นควรเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี
กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้นายวินัยและพันตำรวจเอก ถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นการทุจริตในการ เลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง ตามคำร้อง กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นควรเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี
พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา
รอดูผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ข่าวเกี่ยวข้อง: