ศาลฎีกาพิพากษาถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี 'สมชาย เล่งหลัก' อดีตผู้สมัครสส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย เตรียมเงินจะซื้อเสียง-'มงคล สุรัจสัจจะ' ประธานวุฒิสภาปัดตอบคุณสมบัติสว.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2567 ศาลฎีกาออกประกาศแจ้งคำสั่งศาลฎีกา คดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต สส 4/2567 หมายเลขแดงที่ 338/2567 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง นายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้าน เรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง)
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
ทั้งนี้นายสมชาย เล่งหลัก ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ (กลุ่ม 19)
ด้านนายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ยังไม่ขอให้ความเห็นเรื่องคุณสมบัติสว.ของนายสมชาย ต้องรอคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายสมชาย เล่งหลัก ผู้สมัคร สส.สงขลา เขต 9 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ นายสมชาย เล่งหลัก นายวินัย บัวทอง และ พ.ต.อ.ถวัลย์ นคราวงศ์ ตามมาตรา 73 (3) ประกอบมาตรา 158 วรรคหนึ่งของกฎหมายเดียวกัน กรณี ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายสมชาย ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลทั้งสองจัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 มาตรา 73 (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ นายสมชาย ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม
ผู้สื่อข่าวสรุปและเรียบเรียงคำพิพากษา ดังนี้
ผู้ร้องได้รับรายงานกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้คัดค้านกับพวกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ผู้ร้อง ไต่สวนแล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2566 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ร่วมกันจับกุม นายวินัย บัวทอง พร้อมยึดบัญชี รายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในพื้นที่ตำบลควนลัง ตำบลคลองแห ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ และตำบลท่าช้าง ตำบลแม่ทอม ตำบลบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา จำนวน 16 แผ่น ซึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายคาดอกของนายวินัย กับธนบัตรจำนวน 100,000 บาท และแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านจำนวน 2 แผ่น ซึ่งอยู่ภายในรถยนต์ ของพันตำรวจเอกถวัลย์ นคราวงศ์ เป็นของกลาง
และมีหลักฐานว่าพันตำรวจเอกถวัลย์กับผู้คัดค้านมีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้าน ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย ผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นค้านว่า ผู้คัดค้านไม่รู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ บุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียง หรือช่วยเหลือในการหาเสียงให้ผู้คัดค้าน ธนบัตรของกลาง 100,000 บาท ไม่ได้เป็นของผู้คัดค้านที่จัดเตรียมไว้ เพื่อจะให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ 16 แผ่น แผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านจำนวน 2 แผ่น ผู้คัดค้านไม่ได้ ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
@ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า นายวินัย-พันตำรวจเอกถวัลย์ เตรียมเงินซื้อเสียงให้ 'สมชาย' หรือไม่
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไต่ส่วนและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ทำให้ผลการเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตที่ 9 จังหวัดสงขลา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน มิให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ อันเป็นเหตุให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ตามคำร้องหรือไม่
ทางไต่สวนได้ความจากพยานผู้ร้องทั้งสองและนายสมภพได้รับแจ้งจากเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลังว่า มีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง พยานทั้งสองกับนายสมภพไปดูครั้งแรก พบเพียงรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ติดสติกเกอร์หมายเลข 7สีแดง จอดอยู่แต่ไม่พบผู้ใดอยู่ในบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ได้ไปดูที่รถคันดังกล่าวอีกครั้ง พบชายคนหนึ่งทราบภายหลังชื่อนายวินัยกำลังยืนลอกสติกเกอร์ซึ่งติดอยู่ที่รถยนต์ จึงได้สอบถามว่ากำลังทำอะไรและรถยนต์เป็นของใคร นายวินัยมีอาการตกใจ พวกพยานจึงโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจสอบ ได้ความจากพยานผู้ร้องปากร้อยตำรวจตรีสมภพ รักสนิท (ยศในขณะเกิดเหตุ) ว่า หลังจากได้รับแจ้งว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งที่บริเวณข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง พยานพร้อมด้วยตำรวจอาสาเดินทางไปที่เกิดเหตุพบชายสามคนยืนโต้เถียงกันอยู่ใกล้ ๆ รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ทราบในภายหลังว่าชื่อนายณัฐวุฒิ นายอุทิศ และนายวินัย
พยานสอบถามนายวินัยซึ่งให้การยอมรับว่าเป็นหัวคะแนนของผู้คัดค้านพร้อมกับเอาบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายผลขโทรศัพท์มาให้พยานดู พยานนำตัวนายวินัยพร้อมของกลางที่ยึดได้ไปที่ป้อมยามควนลัง และต่อมาได้นำไปส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน ได้ความจากพยานผู้ร้องปาก ดาบตำรวจองอาจ วิกรเมศกุล เจ้าพนักงานตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็วซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้ร้องให้ทำหน้าที่ป้องปรามและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า หลังจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคน กกต. พยานกับพวกไปที่เกิดเหตุไปที่ป้อมยามควนลัง พบนายวินัยนั่งอยู่กับร้อยตำรวจตรีสมภพ พยานสอบถามนายวินัยได้ความว่า นายวินัยได้โควตาซื้อเสียงมา 40 หัว
และได้ความจากพยานผู้ร้อง นายมนพ ชูมณี ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ว่า พยานเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ ของพันตำรวจเอกถวัลย์กับโทรศัพท์ของผู้คัดค้าน พบว่ามีการติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ส่วนผู้คัดค้านอ้างเป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้าน ว่าผู้คัดค้านไม่รู้จักพันตำรวจเอกถวัลย์ และไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ โทรศัพท์เป็นครื่องที่ผู้คัดค้านใช้ส่วนตัว ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่อีดหมายเลขใช้ประจำอยู่ที่ศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน ประชาชนโดยทั่วไปสามารถโทรศัพท์ติดต่อมาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวได้ โดยผู้คัดค้านมีนายวินัย เป็นพยานเบิกความตอบ
ทนายผู้คัดค้านขออนุญาตศาลถามว่า พยานไม่เคยเห็นธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ของกลาง และมีพันตำรวจเอกถวัลย์เป็นพยานเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านว่า ธนบัตร จำนวน 100,000 บาท พยานยืมมาจากนายพิสิทธิ์ เขียวอ่อน พยานไม่รู้จักกับผู้คัดค้านมาก่อน ทราบแต่เพียงว่าผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทย
เห็นว่าผู้ร้องมีนายณัฐวุฒิหรือคุณกฤต และนายอุทิศซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ที่พยานได้รับแจ้งจากเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองควนลังว่ามีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่ และพยานทั้งสองได้ไปตรวจสอบ จนกระทั่งมีเจ้าพนักงานตำรวจได้มาตรวจค้นตัวนายวินัย และรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในที่เกิดเหตุได้เป็นลำดับและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากนายสมภพที่เบิกความว่า ได้ร่วมเดินทางไปกับนายณัฐวุฒิและนายอุทิศและเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายณัฐวุฒิและนายอุทิศ เดินไปพูดคุยกับนายวินัยโดยขณะนั้น พยานทั้งสองนั่งอยู่ในรถ อีกทั้งยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากร้อยตำรวจตรีสมภพเป็นผู้ค้นตัวนายวินัยและรถยนต์การที่พยานของผู้ร้องทุกปากซึ่งล้วนแต่รู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยโดยตรงเบิกความได้สอดคล้องต้องกันโดยไม่มีพิรุธเช่นนี้ ทำให้น่าเชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามจริง
ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของพยานผู้ร้องปากดาบตำรวจองอาจว่า ขณะที่นายวินัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ป้อมยามควนลัง ดาบตำรวจองอาจได้สอบถามนายวินัยได้ความว่านายวินัยโควตาซื้อเสียงมา 40 หัว คำเบิกความของดาบตำรวจองอาจดังกล่าวจึงยิ่งเป็นการทำให้พยานผู้ร้องมีน้ำหนักน่ารับฟัง
เมื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อบุคคลและหมายเลขโทรศัพท์ต่าง ๆ ซึ่งนายวินัยยอมรับว่าเป็นของตน ก็พบว่าในบัญชีรายชื่อแผ่นที่ 2 มีข้อความเขียนว่า "แกนนำรายชื่อ" พร้อมกับระบุชื่อ ช่างดอน พี่พา น้องไก่ น้องเหมียว น้องบุ้ง เจือร น้องมาย น้องอุ้ม น้องเลอะ พี่ณิชา ส่วนในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม ระบุชื่อนายวินัย บัวทอง ในช่องผู้รับผิดชอบกลุ่ม เเละรายชื่ออื่น ๆ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 9 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเขตที่ผู้คัดค้านลงสมัครรับเลือกตั้ง เช่นนี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการจัดทำบัญชีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ซึ่งในข้อนี้นายวินัยก็ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่า กระดาษที่มีรายชื่อบุคคลที่เจ้าหน้าที่ค้นเจอเป็นเอกสารที่มีรายชื่อลูกค้าที่เคยทำธุรกิจด้วยกัน และจะนำไปเสนอให้กับผู้ใหญ่เพื่อแลกเงิน เนื่องจากประสบปัญหาการเงิน และนอกจากบัญชีบุคคลเจ้าพนักงานตำรวจยังยึดธนบัตรจำนวน 100,000 บาท บนรถยนต์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความครอบครองดูแลของนายวินัย ส่วนพันตำรวจเอกถวัลย์นั่งรอนายวินัยอยู่ที่ร้านกาแฟห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร
@ เชื่อได้ว่านายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ จะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ 'สมชาย'
เมื่อนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับของกลางที่ยึดได้ที่ตัวนายวินัยและที่ยึดได้จากรถยนต์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ ซึ่งติดสติกเกอร์หมายเลข 7 ไว้รอบคันมาพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้ร้อง รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน พฤติการณ์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ที่ปรากฏว่าได้เดินทางไปพร้อมกับนายวินัย หลังจากจอดรถยนต์ของตนไว้ในที่เกิดเหตุแล้วก็นั่งช้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายวินัยไปพูดคุยกันต่อที่ร้านกาแฟ จากนั้นมอบกุญแจรถยนต์ของตนให้นายวินัยไปไขประตูก่อนที่ถูกตำรวจจับกุม ทำให้เชื่อได้ว่านายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์ จะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
ส่วนที่ผู้คัดค้านโต้แย้งไม่ได้กระทำการตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โดยมีนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์มาเป็นพยาน เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายวินัยที่เบิกความว่าไม่เคยเห็นเงินจำนวน 100,000 บาท อันเป็นการปฏิเสธว่าไม่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อ นอกจากจะเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ แล้วยังขัดแย้งกับพฤติการณ์แห่งคดี ที่ปรากฏว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมยึดธนบัตรจำนวน 100,000 บาท เป็นของกลาง นายวินัย ก็อยู่ด้วย ธนบัตรจำนวนดังกล่าวพันตำรวจเอกถวัลย์ก็เบิกความยอมรับว่าได้เก็บไว้ที่ช่องใส่ของด้านหลังเบาะนั่งข้างคนขับ คำเบิกความของนายวินัยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
@ เงิน 100,000 อยู่ในสภาพใหม่-รัดด้วยสายรัดเงิน ผิดวิสัยจัดเก็บเงินของพ่อค้าทั่วไป
ในส่วนของพันตำรวจเอกถวัลย์ซึ่งให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและเบิกความต่อศาลว่า ธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ดังกล่าวเป็นเงินที่ตนยืมมาจากนายพิสิทธิ์ เพื่อส่งไปให้บุตรสาวซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่นายพิสิทธิ์ได้เก็บรวบรวมเงินของลูกค้าที่มาซื้อผัก โดยมีนายพิสิทธิ์มาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าได้ให้พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมเงินไปจริง เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากสภาพของธนบัตรจำนวน 100,000 บาท ของกลาง พบว่าอยู่ในสภาพค่อนข้างใหม่และมีการจัดเก็บอย่างดีโดยรัดด้วยสายรัดเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งผิดวิสัยของการจัดเก็บเงินของพ่อค้าโดยทั่ว ๆ ไป ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นงินที่นายพิสิทธิ์เก็บรวบรวมมาจากคนที่มาซื้อผักของนายพิสิทธิ์ อีกทั้งหากเป็นเงินที่พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาวของตน ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศจริง พันตำรวจเอกถวัลย์ก็น่าจะให้ความสำคัญแก่เงินจำนวนดังกล่าวโดยเก็บไว้กับตัว ไม่น่าจะเก็บไว้ในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในจุดที่ตนไม่สามารถมองเห็นได้ คำเบิกความของพันตำรวจเอกถวัลย์และนายพิสิทธิ์จึงมีพิรุธน่าสงสัย ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของพันตำรวจเอกถวัลย์ที่เก็บเงินจำนวนดังกล่าวไว้ในรถยนต์และมอบกุญแจรถให้แก่นายวินัยในใช้เปิดประตูรถโดยลำพัง ทั้ง ๆ ที่ไม่สนิทคุ้นเคยกันมาก่อนและเป็นผู้ที่มีปัญหาทางการเงิน ยิ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเงินจำนวนดังกล่าว ไม่ใช่เงินที่พันตำรวจเอกถวัลย์ยืมมาเพื่อส่งไปให้บุตรสาว แต่น่าเชื่อว่าเป็นเงินที่พันตำรวจเอกถวัลย์ส่งมอบให้นายวินัยไปใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อ
@ 'สมชาย' รู้เห็นในการเตรียมเงินซื้อเสียงหรือไม่
พยานหลักฐานพลักฐานของผู้คัดค้านจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์เป็นการกระทำเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านแล้วจึงต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการดังกล่าวหรือไม่
เห็นว่า นอกจากข้อเท็จจริงจะได้ความจากที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบรับกันว่า ขณะเกิด เหตุรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ซึ่งเป็นของพันตำรวจเอกถวัลย์มีสติกเกอร์ หมายเลข 7 อันเป็นหมายเลขของพรรคภูมิใจไทย และเป็นหมายเลขเดียวกับของผู้คัดค้านที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงติดอยู่ และในรถยนต์คันดังกล่าว มีแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านอยู่ด้วย 2 แผ่น ข้อเท็จจริงความจากคำถามของพยานผู้ร้องว่า จากการตรวจสอบหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์โดยตรวจสอบขัอมูลการใช้โทรศัพย์ของพันตำรวจเอกถวัลย์กับ
โทรศัพท์ของผู้คัดค้าน และโทรศัพท์ ซึ่งผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นเครื่องที่ใช้อยู่ในศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 3 เม.ย.-30 พ.ค.66 มีการติดต่อระหว่างกันหลายครั้ง ซึ่งในข้อนี้ผู้คัดค้านก็เบิกความรับว่า ในวันที่ 13 พ.ค.2566ได้พูดคุยกับ พันคำรวจเอกถวัลย์จริง โดยสอบถามว่าเสียงส่วนใหญ่ไปทางไหน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนอกจากจะแสดงให้เห็นว่าพันตำรวจเอกถวัลย์มีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านและพันตำรวจเอกถวัลย์รู้จักคุ้นเคยกันและมีการติดต่อประสานงานกันตลอดเวลา มิใช่ไม่รู้จักกันตามที่ผู้คัดค้านและพันตำรวจเอกถวัลย์กล่าวอ้าง พันตำรวจเอกถวัลย์ก็ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและมาเบิกความต่อศาลในฐานะพยานผู้คัดค้านยอมรับว่า ในวันที่ 13 พ.ค. ได้เดินทางไปที่ร้านกาแฟซึ่งตั้งที่บ้านท่าท้อน ตำบลควนลัง ระหว่างอยู่ที่ร้านนายวินัยเดินเข้ามาทักทายพูดคุยกัน จากนั้นพันตำรวจเอกถวัลย์และนายวินัยเดินทางออกจากร้านกาแฟดังกล่าวไปยังร้านกาแฟอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านกาแฟที่พันตำรวจเอกถวัลย์นั่งอยู่แล้วนายวินัยเดินเข้าไปทักทายนั้น แม้พันตำรวจเอกถวัลย์จะพยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าจำไม่ได้ว่าชื่อร้านแกรนด์ ลาซีส หรือไม่ แต่ก็ได้ความจากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนและที่นายวินัยมาเบิกความต่อศาลว่า ร้านกาแฟที่พันตำรวจเอกถวัลย์นั่งอยู่และนายวินัยเดินเข้าไปทักทายชื่อร้านแกรนด์ ลาซีส ซึ่งเป็นของผู้คัดค้าน
เมื่อนำข้อเท็จจริงส่วนนี้มาพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากถ้อยคำที่นายวินัยให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ทำให้เชื่อได้ว่านอกจากการติดต่อกันทางโทรศัพท์แล้ว พันตำรวจเอกถวัลย์ยังเดินทางไปพบและพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ร้านแกรนด์ ลาชีส ด้วย และแม้จะไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่าพันตำรวจเอกถวัลย์ติดต่อพูดคุยกับผู้คัดค้านในเรื่องอะไรบ้าง แต่มื่อพิจารมาจากข้อเท็จริงที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 พ.ค.ที่ปรากฏว่าพันตำรวจเอกถวัลย์ออกจากร้านแกรนด์ ลาซีส ได้ร่วมเดินทางไปกับนายวินัยและนำรถยนต์จนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพบหลักฐานต่าง ๆ จากนายวินัยเเละในรถยนต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมเพื่อเพื่อให้เงินจูงใจให้แก่ผู้คัดค้าน ทำให้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงจากการกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์รู้เห็นกับการกระทำของนายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์
สำหรับที่ผู้คัดค้านโต้แย้งมาว่าพยานหลักฐานผู้ร้องได้มาโดยมีลักษณะคุกคาม บังคับให้จำยอม ทำให้กลัว เป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่อาจรับฟังได้ นั้น เห็นว่า คดีนี้ใต่ส่วนคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานหลักฐานของกลางและไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้ที่อ้างว่าทำการคุกคามตนแต่อย่างใด จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ามีการกระทำดังกล่าว
ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ผู้ร้องนำสืบมาได้ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้นายวินัยและพันตำรวจเอกถวัลย์จัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง อันเป็นการทำฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มา สส. มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1 ) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่งตามคำร้อง
กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นควรเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย เล่งหลัก ผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีผู้สมัคร สส.สงขลา ภูมิใจไทย เตรียมซื้อเสียง 23 ก.ย.นี้